ทุกวันที่ 9 พฤษภาคมของทุกปีจะเป็นวันหยุดยาวเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั้งในประเทศรัสเซียและอดีตสหภาพโซเวียต เนื่องจากเป็นวันครบรอบการที่ผู้บัญชาการกองทัพนาซีเยอรมนีลงนามในข้อตกลงยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร อันประกอบไปด้วยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียต และฝรั่งเศส
อันที่จริงวันแห่งชัยชนะของฝั่งโซเวียตกับฝั่งตะวันตกคนละวันกัน สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ฉลองกันในวันที่ 8 เนื่องจากการลงนามในข้อตกลงยอมจำนนสำเร็จในช่วงเวลา 23.00 น. ของวันที่ 8 ตามเวลาในเยอรมนี ซึ่งตรงกับเวลา 01.00 น. ของวันที่ 9 ตามเขตเวลามอสโกพอดี ความแตกต่างเรื่องเขตเวลาจึงเป็นเหตุให้ทั้งสองฟากเฉลิมฉลองกันคนละวัน
ในช่วงทศวรรษที่แล้ว การเดินสวนสนามวันแห่งชัยชนะก็เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัสเซียในการกระชับความสัมพันธ์กับโลกตะวันตก ในฐานะที่อดีตก็เคยร่วมเป็นร่วมตาย รบและขจัดระบอบนาซีของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ให้สูญสิ้นไปด้วยกัน โดยมีการเชิญผู้แทนระดับสูงของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งการเชิญกองทหารตะวันตกเข้าร่วมเป็นหนึ่งกองทหารสวนสนามบนจัตุรัสแดงเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารรัสเซีย
หากมองจากวันนี้ย้อนไปก็เกือบสิบปีแล้วที่ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับโลกตะวันตกและยูเครนเข้าสู่จุดเลวร้ายแบบไม่มีทางหวนกลับคืนดีกันได้โดยง่าย ยูเครนเองก็สั่งห้ามการเฉลิมฉลองนี้ตั้งแต่ปี 2014 แล้วโดยเป็นหนึ่งในกระบวนการ De-communization เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ โดยไม่มีสิ่งใดจากสหภาพโซเวียตมาข้องเกี่ยว เพื่อลดทอนและด้อยค่าอิทธิพลของรัสเซียในยูเครนเอง
วันแห่งชัยชนะของปี 2022 ถือว่าเป็นอีกปีที่ถูกจับตามองจากทั่วโลกมากที่สุด เนื่องจากสถานการณ์การสู้รบในยูเครนยังคงดำเนินอยู่อย่างร้อนแรง หลายฝ่ายคาดการณ์ไปต่างๆ นานาว่าจะได้เห็นเหตุการณ์อะไรเซอร์ไพรส์ในช่วงการถ่ายทอดสดพิธีการสวนสนาม โดยเฉพาะการจับตาดูท่าทีของประธานในพิธีสวนสนาม คือ ประธานาธิบดีและผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่บางเมืองของยูเครน เช่น เคอร์ซอน (Kherson) ที่ ‘ถูกทหารรัสเซียปลดปล่อย’ (ใช้คำแบบต้นฉบับ) ที่ชาวบ้านได้มีสิทธิ์กลับมาเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง หลังถูกทางการยูเครนสั่งแบนไปตั้งแต่ปี 2014
สิ่งที่เราเห็น?
สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินจากปากปูตินคือ การที่เขากล่าวเริ่มบทสุนทรพจน์ด้วยการกล่าวถึง Security Guarantees และกล่าวโจมตีตะวันตกที่รัสเซียได้พยายามเสนอให้ตะวันตกลงนาม เพื่อรับประกันความมั่นคงให้กับทั้งรัสเซียและผลประโยชน์ตะวันตก (ตามทรรศนะของรัสเซีย) ซึ่งจะเป็นวิธีที่จะคลี่คลายวิกฤตที่กำลังคุกรุ่นตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว แต่ฝ่ายตะวันตกกลับไม่แยแส
ปูตินยังกล่าวโจมตีอีกว่า อย่าว่าแต่จะไม่ยอมรับข้อเสนอของรัสเซีย แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พยายามจะติดอาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน เพื่อเพิ่มอิทธิพล ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อรัสเซีย รัสเซียจึงไม่มีทางเลือกในการป้องกันตนเอง (โดยวิธีการ ‘ปฏิบัติการทางทหาร’ ซึ่งปูตินไม่ได้เอ่ยถึงตลอดบทสุนทรพจน์) และยังได้กล่าวโจมตียูเครนว่าเป็นผู้ที่เข่นฆ่าประชาชนในดอนบาส และสนับสนุนให้กลุ่มนีโอนาซีเผาชนเชื้อสายรัสเซียทั้งเป็นในเมืองโอเดสซาเมื่อปี 2014 ซึ่งเหยื่อเหล่านี้เป็นผู้ที่ทุกคนต้องคารวะ และกล่าวชื่นชมกองกำลังของทั้งรัสเซียและดอนบาสว่าเป็นผู้ที่ปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขรัสเซียที่อยู่ที่นั่น
อีกช่วงหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้นำรัสเซียได้กล่าวยกย่องสรรเสริญทหารผ่านศึกชาวอเมริกัน อังกฤษ และฝรั่งเศส ว่าเป็นวีรบุรุษร่วมกันกับปู่ย่าตาทวดในกองทัพแดงในการขจัดภัยคุกคามนาซีให้หมดสิ้นไป แต่ก็แสดงความเสียใจที่ทหารผ่านศึกของประเทศเหล่านั้นไม่สามารถมาร่วมงานได้ เพราะรัฐบาลเหล่านี้สั่งห้าม
อีกข้อสังเกตที่ไม่เคยปรากฏในปีก่อนๆ แต่มาปรากฏในปีนี้คือ การที่ปูตินเอ่ยถึงวีรชนในดอนบาสและวีรชนกองโจรจีนที่ต่อต้านญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย นัยหนึ่งก็ตีความได้ว่าเป็นปีที่รัสเซียต้องเข้าหาจีนมากเป็นพิเศษ
สิ่งที่เราเห็นนอกจากจะเป็นสุนทรพจน์ของผู้นำรัสเซียแล้วคือ แสนยานุภาพของกองทัพรัสเซีย ที่ขนทหารพร้อมยุทโธปกรณ์มาอวดโฉมบนจัตุรัสแดง อย่างรถถัง T-14 Armata ที่บางฝ่ายปรามาสไว้ว่าเป็นรถถังทิพย์หรือไม่ เพราะไม่เห็นรัสเซียนำไปใช้ในยูเครน รวมไปถึงรถรบ รถหุ้มเกราะต่างๆ และระบบยิงจรวดและขีปนาวุธต่างๆ ซึ่งบางส่วนเพิ่งกลับจากแนวหน้าในยูเครนสดๆ ร้อนๆ รวมไปถึงกองทหารนักรบชาวดอนบาสที่ได้เข้าร่วมสวนสนามวันแห่งชัยชนะเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทหารรัสเซียเป็นครั้งแรก
สิ่งที่เราไม่เห็น
ในเนื้อหาสุนทรพจน์ที่ปูตินกล่าว เอาเข้าจริงก็หักปากกาเซียนไปได้ประมาณหนึ่ง เนื่องจากว่าเซียนบางกลุ่มบางพวกได้ทายทักไว้ว่าปูตินจะกล่าวประกาศสงครามต่อยูเครนอย่างเป็นทางการในวันแห่งชัยชนะโดยเฉพาะ เพราะข้อเท็จจริงคือไม่มีการประกาศเหล่านั้นเกิดขึ้น
อีกอย่างที่หลายฝ่ายเก็งไว้ว่าน่าจะได้เห็นแต่ไม่ได้เห็นคือ การประกาศชัยชนะเหนือยูเครน ผู้นำรัสเซียไม่ได้ใช้พิธีสวนสนามนี้ประกาศชัยชนะเลย ข้อเท็จจริงคือ เนื้อหาเป็นไปในแนวทางที่สื่อว่า ‘ภารกิจในดอนบาส’ นั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลง แต่ว่ารัสเซียจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
พระเอกของงานที่หลายฝ่ายเก็งว่าจะได้เห็นแต่ไม่ได้เห็นก็คือ เครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ Il-80 ‘Doomsday’ หรือแม้กระทั่งเครื่องบินรบแบบ MiG-31I พี่น้องกับ MiG-31K ที่สามารถยิงหัวรบไฮเปอร์โซนิก ‘คินซัล’ (Kinzhal) เข้าสู่เป้าหมาย รวมไปถึงเฮลิคอปเตอร์แบบ Mi-26 ที่เป็นเฮลิคอปเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกนั้นก็ไม่มีใครได้เห็น เพราะการสวนสนามทางอากาศที่มักเกิดขึ้นในเกือบทุกปีนั้นถูกยกเลิกกะทันหัน ว่ากันว่าเป็นเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการเปรยว่าจะเอาสิ่งเหล่านี้มาอวดโฉมอยู่แล้ว
เซอร์ไพรส์จากยูเครน?
หลังจากที่ยูเครนเลิกและสั่งแบนการเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะไปตั้งแต่ปี 2014 วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้นำยูเครนได้ถ่ายทอดสดแถลงการณ์ในขณะที่เดินไปตามท้องถนนของกรุงเคียฟ โดยมีเนื้อหาที่กล่าวอ้างถึงว่า ชาวยูเครนก็เป็นส่วนหนึ่งในการต่อต้านนาซีเยอรมนีเหมือนกัน และโดยเฉพาะการต่อต้านการรุกรานจากรัสเซีย และยังกล่าวย้ำว่า ยูเครนจะได้ชัยชนะในครั้งนี้ไม่ว่าจะนานเท่าใด นัยหนึ่งก็น่าจะเป็นความพยายามที่จะใช้ภาพตรงนี้เชื่อมกับวีรกรรมการต่อสู้ต่อต้านนาซีเยอรมนีในอดีต เพื่อเชื่อมโยงและสร้างความชอบธรรมมากขึ้นในการสู้รบกับรัสเซีย (ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามลบๆ ลืมๆ ประวัติศาสตร์ตรงนี้มาตั้งแต่ปี 2014 หลังพยายามตีตัวออกห่างจากรัสเซีย)
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายฝ่ายคาดว่าจะได้เห็นแต่ไม่ได้เห็นในการสวนสนามวันที่ 9 ที่ผ่านมานี้ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะไม่ได้เห็นแน่ๆ เราอาจจะได้เห็นหรือไม่ได้เห็นก็ได้หลังจากวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ก็เป็นได้
เพราะว่าในโลกยุคใหม่นับตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา เป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน ต้องติดตามสถานการณ์วันต่อวันอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ภาพ: Kirill Kudryavtsev / AFP
อ้างอิง: