ผมยังจำบรรยากาศในวันนั้นได้ดีครับ
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปที่คิง เพาเวอร์ ในซอยรางน้ำเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต หลังจากที่เคยมาร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิทที่โรงแรมพูลแมนเมื่อหลายปีก่อนหน้า และไม่นับที่เคยมานั่งดื่มกาแฟในร้านเล็กๆ ที่แฝงตัวอยู่ในซอยนี้บ้างเป็นครั้งคราว
ในวันนั้นผู้คนมืดฟ้ามัวดิน เต็มไปด้วยผู้สื่อข่าวที่มาร่วมทำข่าวการมาฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ‘จิ้งจอกสยาม’ เลสเตอร์ ซิตี้ เรื่อยไปจนถึงประชาชนคนเดินดินที่อยากมาร่วมสัมผัสบรรยากาศการนำถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกมาฉลองในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นความรู้สึกและบรรยากาศที่แตกต่างจากการนำถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกมา ‘โชว์ตัว’ หลายครั้งหลายคราก่อนหน้า
งานแถลงข่าวในวันนั้นเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ครับ ยิ่งใหญ่มากจริงๆ อย่างที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนตลอดชีวิตการทำงานข่าวของผมเอง
ความพิเศษคือ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นแฟนบอลของเลสเตอร์มาก่อน ในฐานะคนไทยผมเองก็รู้สึก ‘อิน’ ไปกับความสำเร็จครั้งนี้ไปด้วย
แน่นอนว่าคนที่เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในเรื่องนี้ และเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในวันนั้นคือเจ้าของและประธานสโมสร วิชัย ศรีวัฒนประภา
การฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกในประเทศไทยด้วยการนำนักเตะชุดแชมป์ทั้งทีมเดินทางมาขึ้นรถแห่ไปรอบกรุงเทพมหานคร ให้คนไทยได้ชื่นชมกับโทรฟีของลีกที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดและได้มายากที่สุดในโลกเวลานี้
ภาพรถแห่ที่วิ่งผ่านแฟนฟุตบอลที่ยืนเรียงรายข้างทาง ไปจนถึงที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาร่วมเกาะไปกับขบวนฉลอง โดยมีนายวิชัยและอัยยวัฒน์ พร้อมขุนพลชุดแชมป์ที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล อยู่บนรถแห่นั้นอย่างมีความสุข
แค่คิดมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้วครับ มันอยู่เหนือจินตนาการไปมากเหลือเกิน
แต่สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ มันก็เป็นไปแล้ว
เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ยากจะลืมเลือนได้ลง
เมื่อคิดถึงความรู้สึกตื่นเต้นและหัวใจที่พองโตของแฟนฟุตบอลชาวไทยในวันนั้น (และตัวผมเองก็เช่นกัน) ยากที่จะคะเนได้นะครับว่าหัวใจของแฟนบอล The Foxes ตัวจริงที่อยู่ที่อังกฤษนั้น ในวันที่ได้แห่ฉลองแชมป์ในตัวเมืองพวกเขาจะตื่นเต้นและยินดีกันมากขนาดไหน
เลสเตอร์ เป็นสโมสรฟุตบอลขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ครับ พวกเขามาเป็นที่รู้จักในโลกลูกหนังวงกว้างเมื่อช่วงทศวรรษที่ 90 เมื่อได้ขึ้นชั้นมาเล่นพรีเมียร์ลีก และมีผู้จัดการทีมรุ่นใหม่ไฟแรงที่เป็นยอดฝีมือในขณะนั้นอย่าง มาร์ติน โอนีล
คนรุ่นผมในยุคนั้นก็จะคุ้นเคยกับนักเตะอย่าง แมตต์ เอลเลียตต์ ยอดปราการหลังหัวใสจอมถล่มประตู (เคยมาทำงานในไทยลีกอยู่พักหนึ่ง), สตีฟ กัปปี สิงห์อีซ้าย, นีล เลนนอน มิดฟิลด์ฮาร์ดแมนหัวขิง, ร็อบบี ซาเวจ อดีต Class of ’92 ที่ระเห็จมาประสบความสำเร็จกับเลสเตอร์, มุสซี อิสเซ็ต จอมเทคนิคฉบับกระเป๋า และ เอมิล เฮสกีย์ หัวหอกที่ดุดันเหมือนวัวไบซัน
แต่ถึงจะเป็นทีมที่ดีแค่ไหน พวกเขาก็เป็นทีมขนาดเล็กในเวลานั้น เรื่องการประสบความสำเร็จไม่ต้องถามถึง แค่ประคองตัวให้รอดในพรีเมียร์ลีกก็นับเป็นความสำเร็จแล้ว
สวยหรูที่สุดคือการได้แชมป์ฟุตบอลลีกคัพ 2 สมัยในปี 1997 และปี 2000
สำหรับชาวเมืองเลสเตอร์ แค่นี้ก็ดีมากแล้วครับ
จวบจนโลกลูกหนังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วหลังพ้นปี 2000 พวกเขาพยายามจะปรับตัวตามด้วยการสร้างสนามใหม่ในชื่อวอล์กเกอร์ สเตเดี้ยม (ชื่อผู้สนับสนุนในขณะนั้น) แต่ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเมื่อทีมร่วงหล่นจากพรีเมียร์ลีกสู่ลีกที่ต่ำกว่า และเคยตกต่ำไปถึงการอยู่ลีกวัน หรือดิวิชันลำดับที่ 3 ของอังกฤษเมื่อปี 2008
มันมีความรู้สึกนะครับว่าบางทีพวกเขาอาจจะมีสภาพไม่ต่างจาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด, เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์, โคเวนทรี ซิตี้ เหล่าสโมสรที่เคยยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงในอดีตที่ไล่ตามโลกฟุตบอลไม่ทัน และไม่เคยได้กลับมาเฉิดฉายอีกเลย
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อนายวิชัย และคิง เพาเวอร์ เข้ามาซื้อกิจการสโมสรต่อจาก มิลาน แมนดาริช เจ้าของเดิมเมื่อปี 2010 ในสนนราคา 39 ล้านปอนด์
สำหรับแฟนเลสเตอร์ พวกเขารู้ว่าการมาของทุนจากประเทศไทยเป็นข่าวดี
แต่ข่าวร้ายคือพวกเขาไม่รู้จักคนเหล่านี้เลย พวกเขาเป็นใครมาจากไหน เป็นคนดีหรือเปล่า
คนพวกนี้จะมาเปลี่ยนชื่อทีมของพวกเราไหม จะเปลี่ยนสีเสื้อเป็นสีแดงหรือเปล่า แล้วพวกเขาจะเข้ามาทำอะไรกับทีมของพวกเราบ้าง หรือจะมาเพียงแค่กอบโกยแล้วจากไปเงียบๆ เหมือนนายทุนลูกหนังที่เข้ามาในหลายๆ ทีม
สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกของแฟนบอลจิ้งจอกตัวจริงอย่าง เจมส์ ชาร์ป นักข่าวท้องถิ่นแห่ง Daily Mail ที่บอกเล่าความรู้สึกของเขาออกมา
ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่มั่นใจครับ และอย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้กระทั่งพวกเราคนข่าวชาวไทยเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่านายวิชัย และคิง เพาเวอร์ ตั้งใจแค่ไหนกับการซื้อกิจการสโมสรในวันนั้น
คำตอบแรกจากนายวิชัย คือการปลดหนี้สโมสร
คำตอบต่อมาคือการลงทุนร่วม 100 ล้านปอนด์ ค่อยๆ สร้างทีมอย่างตั้งใจ ส่งลูกชายต๊อบ อัยยวัฒน์ มาดูงานอย่างใกล้ชิด ค่อยๆ ปรับสโมสรจากทีมฟุตบอลหัวโบราณสไตล์ชาวอังกฤษให้เป็นทีมฟุตบอลสมัยใหม่ และที่สำคัญคือเติมความเป็นไทยเข้าไปในนั้น
สิ่งนี้ไม่ง่ายนะครับในการจะทำ จะทำได้นั้นต้องลงลึกและตั้งใจอย่างมาก เพราะช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมสองประเทศนั้นมีมากและยากที่จะลดมันได้
ที่สำคัญคือทำทุกอย่างด้วยความเข้าใจและให้เกียรติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก และเป็นสิ่งที่นักลงทุนจำนวนมากทำผิดพลาดเมื่อซื้อสโมสรฟุตบอลแต่ดันเปลี่ยนทุกอย่างตามใจตัวเองโดยไม่สนใจรากเหง้าและความเป็นมา
สุดท้ายครอบครัว ‘ศรีวัฒนประภา’ ก็ทำได้สำเร็จ แม้จะใช้ความพยายามอย่างมหาศาล และใช้ระยะเวลาหลายปี
จากจิ้งจอกที่แสนเย็นชาในป่าหนาว เลสเตอร์ค่อยๆ กลายเป็นจิ้งจอกที่มีหัวใจอบอุ่นและน่ารักแบบไทยๆ
คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เปลี่ยนจากแค่สนามฟุตบอล กลายเป็นเรือนรับรองที่ใครมาก็พร้อมยินดีต้อนรับ
จะยากดีมีจน หากได้มาเยือนถึงบ้านของเลสเตอร์ ทุกคนก็ได้รับการต้อนรับที่ดีทั้งสิ้น
หลายสิ่งที่สโมสรเลสเตอร์ทำ ซึ่งมาจากแนวทางที่นายวิชัยได้ให้ไว้ ค่อยๆ ชนะใจแฟนเจ้าถิ่นได้
เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงความ ‘จริงใจ’ ที่ไม่ได้มาจากแค่คำพูด แต่มาจากการกระทำล้วนๆ
ดังนั้นไม่ว่าจะไปถามแฟนบอลเลสเตอร์คนไหนถึงความรู้สึกที่มีต่อประธานสโมสรชาวไทย ร้อยทั้งร้อยมีแต่คำว่ารักที่จะมอบให้
มากกว่าคำว่ารักคือคำว่า ‘ฝัน’
เจมส์ ชาร์ป ให้นิยามนายวิชัยว่า ‘เป็นคนที่สอนให้เราได้รู้จักฝัน’
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นครับว่า เลสเตอร์ เป็นทีมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เรื่องจะคิดฝันไปไกลถึงการคว้าแชมป์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่การแข่งขันสูงและร้อนแรง ยุคที่เงินทองเป็นใหญ่ และระยะห่างระหว่างทีมในกลุ่มนำกับทีมอื่นยิ่งไกลกันออกไปทุกที
แต่เลสเตอร์ ทำเรื่องมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ในฤดูกาล 2015-16
ผลพวงจากความกล้าที่จะลงทุนให้ทีม และการตัดสินใจที่เด็ดขาด โดยเฉพาะการแต่งตั้ง เคลาดิโอ รานิเอรี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทน ไนเจล เพียร์สัน ที่นำทีมรอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาลแรกที่ได้กลับมาพรีเมียร์ลีก กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
จากนั้นสิ่งที่เราได้เห็นด้วยกันคือ ‘เทพนิยายลูกหนัง’ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เรื่องของทีมที่ก่อนเริ่มฤดูกาลถูกตราหน้าว่าไม่มีโอกาสเป็นแชมป์ด้วยอัตราต่อรองสูงถึง 5,000:1 ทีมที่ไม่ได้มีซูเปอร์สตาร์ระดับแข้งพันล้าน สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้อย่างสุดเหลือเชื่อ
เขาอาจจะไม่ได้ลงไปเล่นในสนาม แต่ความสำเร็จนี้จะไม่มีวันเกิดหากไม่มีเจ้าของสโมสรคนนี้
คนที่ตัดสินใจทุกอย่างได้อย่างเด็ดขาด มีสายตาที่มองการณ์ไกล และหัวใจที่หนักแน่น โดยที่ทำทุกอย่างอย่างเงียบๆ อยู่ข้างหลัง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาเองไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ในฐานะประธานสโมสรเลสเตอร์มากนัก แต่เราจะได้เห็นภาพของเขาในสนามคิง เพาเวอร์ ตลอด
ในมุมที่ใกล้กว่านั้น แฟนเลสเตอร์ในสนาม หากมีโอกาสได้พบ ก็จะได้รับการทักทายด้วยรอยยิ้มและไมตรี
เช่นกันกับเจ้าหน้าที่สนาม เจ้าหน้าที่ของสโมสร ผู้สื่อข่าว ทุกคนที่เขาพบก็จะได้เจอรอยยิ้มอบอุ่นเสมอ
ในโอกาสพิเศษก็ซื้อขนมโดนัท ขนมอบกรอบ ซื้อเบียร์ และแจกผ้าพันคอให้
ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่ก็ทำเพราะอยากให้
เมื่อสุดท้ายแล้วเฮลิคอปเตอร์สีน้ำเงินลำนั้นไม่ได้ไปส่งเขาที่บ้านหลังจบเกมกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพราะขึ้นไปส่งบนฟ้าแทน
ไม่แปลกที่รั้วสนามจะถูกย้อมด้วยมหาสมุทรของช่อดอกไม้ เสื้อ ผ้าพันคอ และข้อความอาลัยรักจากแฟนบอล ที่เดินทางมาจากถนนทุกสายในเมือง บ้างเดินด้วยเท้า บ้างขับรถเข้ามาให้ใกล้ที่สุดก่อนจะเดินต่อ บางขึ้นรถเมล์มาแต่เช้า
ทุกคนมาเพื่อบอกรักและบอกลาประธานสโมสรในดวงใจคนนี้
ให้เขาได้ ‘รับ’ และได้ ‘รู้’ ว่าทุกคนรักเขามากแค่ไหน
และเรื่องราวที่เขาทำเพื่อทีมฟุตบอลแห่งนี้จะเป็นเรื่องเล่า เป็นนิทาน เป็นตำนาน ที่ทุกคนจะเล่าขานให้ลูกฟัง ให้หลานฟัง สืบไป
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์