วันนี้ (4 ตุลาคม) วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวถึงเหตุความรุนแรงที่ห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าเนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นเด็กชายอายุ 14 ปี ทาง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้มีการส่งทีมสหวิชาชีพเข้าพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเวลา 20.00 น. เพื่อทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสอบถามข้อมูลจากเด็กผู้ก่อเหตุ และอยู่ร่วมกันในทุกๆ ขั้นตอน แต่ตนยังไม่ได้รับรายงานในการพูดคุยจากทีมสหวิชาชีพในพื้นที่แต่อย่างใด และจากนี้จะมีการดูแลเรื่องสภาพจิตใจของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้สูญเสีย ผู้ก่อเหตุ และประชาชนที่รับฟังข่าวสารตลอดซึ่งอาจจะมีความหดหู่ ก็สามารถปรึกษาเข้ามาที่สายด่วน 1300 ได้
วราวุธกล่าวว่า จากนี้จะเป็นการทำงานเชิงรุก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนบ่งชี้ได้ดีว่าบทบาทของ พม. จากนี้ไปมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ทั้งในมิติของการเยียวยา การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคต ที่สำคัญคือการมีสหวิชาชีพนักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุยกับแต่ละเคสที่เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ต่างๆ และทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่แค่ทำฉาบฉวย พอมีข่าวผ่านหน้าสื่อแล้วหายไป แต่จะทำงานตั้งแต่แรกจนถึงตอนจบว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบแต่ละเคสเราจะเยียวยาแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไร
วราวุธกล่าวว่า ขอความร่วมมือไม่ส่งต่อภาพความรุนแรง ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมเหตุการณ์ ตนไม่ทราบว่าหน่วยงานใดเข้าถึงที่เกิดเหตุเป็นชุดแรก แต่ว่าภาพต่างๆ ที่ออกมาก็มาจากที่เกิดเหตุ ดังนั้นน่าจะเป็นการหลุดออกมาจากหน่วยงานที่เข้าไปในพื้นที่ ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วขอว่าอย่าส่งต่อกัน เพราะจะก่อให้เกิดความเกลียดชังและความหดหู่ในสังคมไทย เชื่อว่าถึงตอนนี้บางคนจิตใจห่อเหี่ยวและจิตตกจากการเสพข่าวมากเกินไป อย่าซ้ำเติมสังคมไทยที่มีความบอบช้ำจากปัญหาต่างๆ ซึ่งคนที่จะช่วยได้ดีนอกจาก พม. แล้วก็คือสื่อมวลชน ขอความกรุณาเสนอข่าวและใช้คำพูดในการพาดหัวการโปรยข่าวอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้สังคมได้รับผลกระทบมากเกินไป
สำหรับเรื่องการครอบครองปืนนั้นเชื่อว่ากระทรวงมหาดไทยน่าจะทราบเรื่องดีว่าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ฝากผู้ปกครองด้วยว่าเนื้อหาที่ลูกหลานตัวเองเสพอยู่ผ่านสื่อต่างๆ เป็นอย่างไร อย่าโทษการ์ตูน โทษสื่อ ต้องกลับมาดูว่าในครอบครัวมีการเฝ้าระวังลูกหลานอย่างไร มีการจำกัดการเข้าถึงสื่อเหล่านั้นอย่างไร ฝากหน่วยงานภาครัฐว่าจะต้องมีการกรอกเนื้อหาที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
วราวุธกล่าวอีกว่า ตนคิดว่าขณะนี้ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องมีระบบการแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน (Emergency Broadcast) เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุได้ระวังตัว เพราะบางครั้งขณะเดินเข้าห้างยังได้รับข้อความโปรโมชันลดราคาต่างๆ ดังนั้นเมื่อภาคเอกชนทำได้ ภาครัฐก็คงไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง เชื่อว่าไม่มีอะไรที่เทคโนโลยีปัจจุบันทำไม่ได้ ตนไม่ทราบว่าหน่วยงานใดจะเป็นเจ้าภาพหลัก ซึ่งที่จริงคนที่รับผิดชอบอาจจะกำลังคิดและดำเนินการอยู่ก็ได้ แต่ถ้าคิดไม่ออกว่าใครจะเป็นเจ้าภาพ พม. จะเป็นเจ้าภาพให้ เพียงแค่จัดสรรงบประมาณมาให้ ส่วนตัวจะคอยติดตามดูว่ามีการดำเนินการหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีเชื่อว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารหน้า (10 ตุลาคม) จะมีการพูดคุยเรื่องนี้แน่นอน