หอการค้าฯ เผยซาอุดีอาระเบียสนใจร่วมทุนธุรกิจไทย พร้อมนำเข้าสินค้าและแรงงานไทยจำนวนมาก คาดมูลค่าการค้าปีนี้พุ่งหลายหมื่นล้าน แนะภาครัฐสนับสนุนข้อมูล พร้อมตั้งหน่วยประสานงานธุรกิจก่อนซาอุดีอาระเบียยกคณะเยือนไทยวันที่ 4-7 กรกฎาคมนี้
สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลความคืบหน้าในการเจรจาธุรกิจและการทำ Business Matching ระหว่างภาคเอกชนไทยและซาอุดีอาระเบีย ภายหลังรัฐบาลและคณะนักธุรกิจไทยได้เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อวันที่ 15-18 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า การเดินทางไปในครั้งนี้ กลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและ Wellness ได้รับการตอบรับและมีการเจรจาธุรกิจมากกว่าธุรกิจอื่นๆ ซึ่งความต้องการจากซาอุดีอาระเบียมีทั้งการเชิญชวนไปร่วมลงทุนทั้งในธุรกิจโรงแรมและโรงพยาบาล การจัด Course Training ให้กับบุคลากรในธุรกิจ Wellness รวมทั้งการตอบรับที่ดีในการมารักษาพยาบาลในไทย
ขณะที่โอกาสในการทำเรื่อง Medical Hub และสินค้าสุขภาพ ก็ยังเปิดกว้าง โดยทางซาอุดีอาระเบียต้องการเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการจากไทยด้วย นอกจากนั้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากฝ่ายซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างมาก อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่องของซาอุดีอาระเบีย จึงมีโอกาสทั้งการส่งออกและการร่วมทุนทำธุรกิจระหว่างกัน
สำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร โดยปกติจะเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปที่ซาอุดีอาระเบียอยู่แล้ว แต่การเดินทางไปครั้งนี้เป็นการประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนซาอุดีอาระเบียรู้จักประเทศไทยมากขึ้น ทั้งอาหารฮาลาล อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง และผลไม้ไทย ทำให้มีบริษัท Trading มาติดต่อเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดี โดยสินค้าที่เป็นที่ต้องการจากซาอุดีอาระเบีย ได้แก่ ไก่, ปลา, กุ้ง, อาหารสัตว์, น้ำมะพร้าว รวมถึงอาหารไทย และข้าวไทยด้วย เป็นต้น ซึ่งควรมีการทำการตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์บางอย่างยังถูกห้ามนำเข้าอยู่ จึงเป็นความพยายามที่ภาครัฐต้องหาทางเจรจาผ่อนคลายสินค้าต่อไป รวมถึงการทำ FDA และการขอ อย. ด้วย
สนั่นระบุว่า นอกจากอาหารคนแล้ว อาหารสัตว์เลี้ยงก็เป็นสินค้าที่ซาอุดีอาระเบียสนใจ เนื่องจากเลี้ยงแมวเยอะ ส่วนธุรกิจสายการบินก็มีการศึกษาเพื่อเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างกัน และธุรกิจศูนย์การค้า Shopping Mall ทางซาอุดีอาระเบียก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน ในขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ และสี ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความสนใจ ซึ่งมาจากการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่องของซาอุดีอาระเบีย จึงมีโอกาสทั้งการส่งออกและการร่วมทุนทำธุรกิจระหว่างกันทั้งการสร้าง Smart City การออกแบบอาคารและเมือง เรื่อง Supply สินค้าต่างๆ เช่น Solar Cell เป็นต้น ส่วนบริษัทด้านเทคโนโลยีก็มีการคุยกันถึง Telemedicine, Gaming และ IOT Platform ของ Smart City ร่วมกัน โดยจะมีการศึกษาในรายละเอียดและกฎระเบียบต่างๆ ร่วมกันต่อไป
ด้านแรงงานในภาพรวม ซาอุดีอาระเบียต้องการแรงงานของไทยไปทำงานในหลายสาขา ตั้งแต่ผู้บริหารโรงพยาบาล, แพทย์, พยาบาล, แรงงานฝีมือในการก่อสร้าง และยานยนต์ ซึ่งเป็นโอกาสของนักศึกษาสายอาชีวะที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยเร็วๆ นี้จะมีนักธุรกิจซาอุดีอาระเบียเดินทางมาเยี่ยมชมโรงงานในประเทศไทยต่อไป อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ได้มีการเชิญนักธุรกิจซาอุดีอาระเบียที่สนใจมาดูโรงงานผลิตรถ BEV ของไทย รวมทั้งยังสนใจรถดัดแปลงต่างๆ ซึ่งจะมีการส่งช่างมาอบรมที่ประเทศไทยด้วย ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งจะมีการประสานงานกับภาคเอกชนกันอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือดังกล่าวมีทั้งการนำเข้าสินค้าจากซาอุดีอาระเบียและการส่งออกสินค้าของไทย เช่น ธุรกิจอัญมณี ก็มีการออกแบบและเจรจาร่วมกันบ้างแล้ว
“ในเบื้องต้นประเมินว่า โอกาสในการทำการค้าระหว่างกันภายในปีนี้จะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทยเป็นอย่างมากที่จะมีเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามายังประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภาคเอกชนไทยต้องการเพิ่มเติมคือข้อมูล ทั้งข้อมูลกฎระเบียบที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออก กฎระเบียบที่เกี่ยวกับการลงทุน และการรับรองมาตรฐานสินค้า ข้อมูลการซื้อสินค้าในเชิงลึกที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ดังนั้นจึงขอให้ภาครัฐของไทยเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวให้กับภาคเอกชนด้วย เพื่อให้ภาคเอกชนมีข้อมูลก่อนการเดินทางไปเจรจาธุรกิจ นอกจากนั้นยังขอให้ตั้ง Focal Point ฝ่ายไทยประจำที่ซาอุดีอาระเบีย เพื่อทำหน้าที่ประสานงานระหว่างภาคเอกชนไทยกับภาคเอกชนซาอุดีอาระเบียอีกด้วย” สนั่นกล่าว
ทั้งนี้ ในวันที่ 4-7 กรกฎาคมนี้ ซาอุดีอาระเบียจะจัดคณะภาครัฐและเอกชนเดินทางมาเยือนไทย ซึ่งเป็นจังหวะที่ดี เพราะหลายคนยังไม่เคยมาประเทศไทยเลย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสสร้างความเชื่อมั่นในการทำการค้าระหว่างกัน และเป็นการสร้างโอกาสที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางด้านการค้าและการลงทุนให้กับซาอุดีอาระเบียในการขยายการค้าเชื่อมโยงกับภูมิภาคอาเซียนต่อไป หอการค้าฯ เชื่อมั่นว่าประเทศไทยพร้อมที่จะเป็น Regional Hub ใน ASEAN เพราะทั้ง BOI และ EEC ก็ได้ไป Roadshow ร่วมกับภาคเอกชน และได้ศึกษาลู่ทางต่างๆ ทั้งภาคการท่องเที่ยว การก่อสร้าง ธุรกิจพลังงาน และปิโตรเคมี ซึ่งคงมีความคืบหน้าต่อไป
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP