วันนี้ (31 พฤษภาคม) อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงการอภิปรายของ สุทิน คลังแสง ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ถึงการจัดการเกี่ยวกับภัยโควิด-19 โดยยืนยันว่า รัฐบาลไม่ต้องการเกิดผลกระทบรุนแรงจนกระทบเศรษฐกิจ จึงได้จัดการด้านสาธารณสุขเป็นอันดับแรก และดำเนินการไปได้ด้วยดี
ส่วนด้านเศรษฐกิจ เรามุ่งเน้นเรื่องการเยียวยาปัญหาขาดสภาพคล่องสำหรับประชาชน ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs โดยมีมาตรการต่างๆ ออกมา และส่วนของการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วันนี้รัฐบาลได้เริ่มดำเนินการ เพื่อให้มีความต่อเนื่องในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก เพื่อให้ก้าวสู่เศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่จะมาถึง ซึ่งไม่ใช่แค่การเอาเงินเยียวยาให้ประชาชนเท่านั้น แต่มีทั้งเรื่องเยียวยาและฟื้นฟูที่ได้พยายามให้ดำเนินการต่อเนื่องและสอดรับกับแผนพัฒนาประเทศยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติ แต่ก็จำเป็นต้องมีตัวเงินใส่เข้าไปในแผนฟื้นฟู แต่จะไม่ใช่แค่มาตรการเยียวยา เพราะขณะที่ผู้ประกอบพยายามปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจรูปแบบใหม่ หรือ New Normal ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สภาพคล่องในการปรับตัวเอง โดยรัฐบาลกำลังดำเนินการกับภาคส่วนต่างๆ ในการออกมาตรการที่ไม่ใช่ตัวเงินออกมา เช่น การเสริมทักษะสร้างงาน สร้างบุคลากร โดยเน้นพื้นที่ในระดับชุมชนเป็นหลัก โดยภาคเครือข่ายต่างๆ ไปพร้อมกัน มีพระราชกำหนดเงินกู้เพื่อการเยียวยา 4 แสนล้านบาท มาสอดรับกับสิ่งเหล่านี้
“การดำเนินมาตรการเยียวยา เราพยายามให้ตรงเป้าหมายที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องความเร่งด่วนที่จะต้องเข้าไปดูแลอย่างรวดเร็ว ภายใต้ระบบของประเทศที่มีอยู่ และข้อมูลที่มี หลายอย่างเราอยากทำให้เร็วกว่านี้ แต่ก็จำเป็นต้องเยียวยาให้ถูกคน และใช้งบประมาณอย่างรัดกุมคุ้มค่า เพราะเป็นเงินของชาติ จึงจำต้องใช้เวลา แต่เมื่อดำเนินการไปก็มีการปรับปรุงและรับฟังคำติชม ทักท้วง และปรับ จนสามารถดำเนินการอย่างที่ได้เห็นผลแล้วในวันนี้สำหรับการดูแลกลุ่มต่างๆ ด้วยกลไกและมาตรการที่มีอยู่”
ส่วนประเด็นการกู้เงินและการบริหารจัดการภาระหนี้ของประเทศขอชี้แจงว่า กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มีแผนการระดับสากล เพราะมีประสบการณ์พอสมควร โดยจะใช้ตราสารการเงินในรูปแบบที่ดี เพื่อกระจายความเสี่ยง เพิ่มความสมดุล ไม่กระทบส่วนใดของตลาดเงินมากเกินไป เช่น เครื่องมือระยะยาวมีการออกพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรออมทรัพย์ที่ออกไป โดยต้องการให้ประชาชนมีโอกาสได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาโควิด-19 ครั้งนี้ โดยผ่านการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ และยังเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ลงทุนในภาวะนี้ที่ดอกเบี้ยธนาคารต่ำ ประชาชนเข้าถึงกำหนดได้ เพราะกำหนดซื้อได้อย่างต่ำ 1,000 บาท ไม่เกินคนละ 2 ล้านบาท เพราะต้องการให้กระจายไปถึงประชาชนรายย่อย
ส่วนการกู้ระยะสั้นก็มีเครื่องมืออื่น เช่น ตั๋วเงินคลัง สัญญาใช้เงินต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมามีการกู้ไปแล้ว 1.7 แสนล้านบาท ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.5 เป็นอัตราที่สอดคล้องกับภาวะตลาดเงิน ตลาดทุนในปัจจุบัน หากในอนาคตมีการเปลี่ยนไป ก็จะดูแลให้การระดมเงินผ่านการกู้ต่างๆ ให้สอดรับกับสภาวะของตลาดด้วย ส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2555 อัตราส่วนอยู่ที่ร้อยละ 40 แต่เราจำเป็นต้องกู้เพื่อมาสู้กับโควิด-19 ทำให้อัตราส่วนจำเป็นต้องขึ้นไปสูงขึ้น มิเช่นนั้นจะสู้ภัยไม่ได้ แต่หากไม่มีภัยนี้แล้วตนเชื่อว่า หนี้สาธารณะก็อยู่ในระดับร้อยละ 40 กว่าต่อไป
สำหรับประเด็นข้อกฎหมายที่ว่า พ.ร.ก. BSF ฉบับที่ 3 ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมากเกินควร ขอเรียนว่าไม่ได้ให้อำนาจเกินควร เพราะในมาตรา 5 แม้จะให้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาด เพื่อให้การดำเนินการตาม พ.ร.ก. ความสามารถดำเนินการได้โดยไม่เกิดอุปสรรคและความเสียหายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งไม่อาจปล่อยให้เนิ่นนานล่าช้าในภาวะเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจของรัฐมนตรีนี้ยังต้องอยู่ภายใต้หลักของการสุจริต โปร่งใส และการขัดกันของผลประโยชน์ แม้จะให้ถือว่าคำ ‘วินิจฉัย’ ของรัฐมนตรีถือเป็นที่สุด แต่ก็ในเชิงบริหารเท่านั้น การใช้อำนาจการบริหารยังคงอยู่ภายใต้การตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมของศาล ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจตามปกติ ไม่ได้ให้อำนาจสูงสุดรัฐมนตรีเทียบเท่าศาล เนื่องจากการวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้ตัดสิทธิ์ในกระบวนการทางศาลแต่อย่างใด หากไม่เห็นด้วยกับการวินิจฉัยก็สามารถใช้กระบวนการทางศาลตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐมนตรีคลังได้ในทุกเวลา และรัฐมนตรีก็ต้องรับผิดชอบ
ส่วนมาตรา19 วรรคหนึ่งที่มองว่า การกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจซื้อขายตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ไม่ใช่ตราสารหนี้ออกใหม่นั้น เป็นการให้อำนาจรัฐมนตรีที่ขัดต่อมาตรา 77 วรรค 3 ของรัฐธรรมนูญ ขอชี้แจงว่ามาตรา 19 วรรคหนึ่งมีการกำหนดเงื่อนไขในการใช้ดุลพินิจไว้ 2 เงื่อนไข คือ 1. ต้องเป็นกรณีที่ตราสารหนี้ประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างร้ายแรงอันเนื่องมาจากโควิด-19 และ 2. มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินโดยรวม ถือเป็นกรณีที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของ ธปท. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไว้แล้ว และยังกำหนดให้มีผู้พิจารณา 2 ขั้นตอน เพื่อความรอบคอบ โดยผ่านการพิจารณาของ ธปท. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วนเรื่องระยะเวลาการใช้ดุลพินิจ เนื่องจากเป็นกรณีเร่งด่วน ซึ่งเป็นเงื่อนไขหลักของการพิจารณาของ ธปท. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงจำเป็นต้องดำเนินการให้บริการในภาวะเช่นนี้ จึงยืนยันว่า บทบัญญัติมาตรา 19 ของ พ.ร.ก. นี้ไม่ได้ต่อมาตรา 77 วรรค 3 แต่อย่างใด
“ผมขอยืนยันว่า กองทุน BSF ไม่ได้อุ้มบริษัทใหญ่หรือบริษัทที่ออกตราสารใด แต่มีความจำเป็นจริงที่เราต้องดูแลเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ออกหุ้นกู้เท่านั้นไม่ว่าขนาดแค่ไหน แต่สำคัญคือเกี่ยวข้องกับประชาชนที่ถือตราสารหนี้ที่มีจำนวนมากในปัจจุบัน การดำเนินการของกองทุนดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในกลไกการรักษามูลค่าเงินออมและเงินทุนของประชาชน อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือผู้ออกหุ้นกู้ โดยคิดดอกเบี้ยแพงเป็นพิเศษหากเทียบกับ พ.ร.บ. ฉบับที่ 2 หรือซอฟต์โลน ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ให้ดอกเบี้ยถูก แต่ฉบับที่ 3 จะให้ดอกเบี้ยแพงเป็นพิเศษ ถึงจะได้รับความช่วยเหลือ” อุตตมกล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล