×

หุ้นญี่ปุ่น กับโอกาสลงทุนในเศรษฐกิจโลกยุคเปลี่ยนผ่าน

03.10.2025
  • LOADING...
USStock-Bubble-Japan-ValueStock-Buffett

นับวันเสียงเตือน “หุ้นสหรัฐฯ แพงที่สุดในประวัติศาสตร์” ดังถี่ขึ้นทุกที ทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ต่างก็ทำ All time high ไม่พัก ตั้งแต่ต้นปีจนเวลานี้ 

 

รวมๆ แล้วในช่วง 2 ปีกว่ามานี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นกว่า 60% -70% ได้แล้ว ท่ามกลางวัฏจักรยักษ์ขาขึ้นระยะยาวของ AI Supercycle ที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาล่วงหน้าว่า ปลายรอบของ Cycle นี้ คืออะไรและเมื่อไหร่

 

เสียงเตือนหุ้นสหรัฐฯ แพงที่สุดในประวัติศาสตร์

 

นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank เตือน “ฟองสบู่ AI คือ สิ่งเดียวที่ยังคงพยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไว้” ซึ่งจริงหรือไม่ก็ได้แต่รอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

 

ล่าสุด Bloomberg ได้วิเคราะห์ว่า ปัจจุบัน ไม่ว่าจะวัดด้วยวิธีไหน “หุ้นสหรัฐฯ” แพงที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว 

 

ในอดีตความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากปี 1929 ไปสู่ 1965 และ 1999 จนถึงวันนี้ ทุกครั้งที่ Valuation พุ่งแรง สุดท้ายก็ตามมาด้วยการปรับฐาน

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้ทำ New High ของ Valuation สูงกว่า Dot Com Bubble ปี 2000 และ Great Depression ปี 1929 เสียอีก

 

พร้อมเตือนว่า ทุกครั้งที่มูลค่าหุ้นขึ้นไปแตะจุดสูงสุด มักเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดใกล้ “ปลายรอบ” 

 

เพราะทุกวันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกก็ยังเต็มไปด้วยความไม่ชัดเจนรอบด้าน ทั้งจากนโยบายกีดกันทางค้าของสหรัฐฯ ที่ไม่น่าจบสิ้นง่ายๆ “โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงป่วนโลกด้วยมาตรการต่างๆ อีก ด้วยการไล่เก็บภาษีต่างๆ อีก นำโดยภาษีนำเข้ายาที่สูงถึง 100% หลังปิดดีลการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ในอัตราที่เพิ่มขึ้น จบไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา

 

ท่ามกลางความเสี่ยงเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้นจากมาตรการภาษีต่างๆ และแรงกดดันต่อเฟดจะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยขาลงอย่างไรต่อไป หนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่สูงกับกระแส shutdown ที่เกิดขึ้นทุกปี 

 

นี่คือสัญญาณที่นักลงทุนต้องจับตา เมื่อ Valuation ของตลาดสหรัฐฯ แพงสุดขนาดนี้ ไม่มีใครตอบได้ว่า มันคือความเสี่ยง หรือยังเป็นโอกาสที่ทุกคนคาดหวังกันแน่? และยังมีตลาดหุ้นอีกหลายแห่งที่ Valuation ก็เริ่มตึงตัวด้วยเช่นกัน ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกพลิกผันได้เสมอ 

 

ฉะนั้น การเลือกตลาดหุ้นลงทุนในเวลานี้ ผมอยากให้มองหาประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง และควรมีความเสี่ยงน้อยจากนโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงมีปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นเฉพาะตัวและมี Valuation ที่ไม่สูง ซึ่งหนึ่งในตลาดหุ้นที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ผมขอฉายภาพให้เห็นอย่างนี้ 

 

ส่องตลาดญี่ปุ่น เมื่อหุ้นคุณค่า ชนะหุ้นเติบโต

 

ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่หุ้นคุณค่า (Value Stock) ชนะหุ้นเติบโต (Growth Stock) ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ภาพของตลาดหุ้นโลกเป็นช่วงเวลาที่หุ้น Growth กลุ่มเทคโนโลยี AI เติบโตได้ดีมาก แต่ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นไว้หนึ่งแห่ง ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ คุณปู่ Warren Buffett นักลงทุนไอดอลสาย VI ของโลก ก็ใส่เงินลงทุนเพิ่มในหุ้นญี่ปุ่นอีกครั้งในหุ้นกลุ่มค้าปลีก ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังช่วงท้ายครับ 

 

ผมเห็นนักวิเคราะห์ได้มีการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลตอบแทนระหว่างหุ้น Value และหุ้น Growth ใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่ หุ้นญี่ปุ่น หุ้นโลก และหุ้นสหรัฐฯ โดยใช้ดัชนี MSCI เปรียบเทียบกันในช่วง 2 ปี (มกราคม 2023 – เมษายน 2025) 

 

อัตราส่วนของ MSCI Japan Value Index หรือ MSCI Japan Growth Index สะท้อนว่าหุ้น Value ของญี่ปุ่นมีผลตอบแทน “ดีกว่า” หุ้น Growth ชัดเจน โดยค่า Index ล่าสุดอยู่ที่ 117.55 เพิ่มขึ้นประมาณ 17.55% 

 

ขณะที่ตัวแทนหุ้นโลกอย่าง MSCI World Value Index หรือ MSCI World Growth Index และตัวแทนหุ้นสหรัฐฯ MSCI USA Value Index หรือ MSCI USA Growth Index พบว่าค่า Index อยู่ต่ำกว่า 100 แปลว่าหุ้น Value ให้ผลตอบแทน “แพ้” หุ้น Growth

 

หากถามว่าปีนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นแพงไปหรือยัง? และยังมีโอกาสไปต่อหรือกำลังอยู่ในช่วงพักตัว?

 

มุมมองของผม ในปี 2025 ดัชนี Nikkei-225 เพิ่งได้ “ขยับขึ้นไป” ทำ All time high ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำสถิติทะลุจุดสูงสุดเดิมที่เคยเกิดขึ้นในช่วงยุคฟองสบู่ปี 1989 แม้ว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบัน Forward P/E ยังซื้อขายอยู่ในระดับ 19 เท่า ซึ่งใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ระดับ 18 เท่า ขณะที่ในช่วง 1 ปีย้อนหลัง ดัชนี Nikkei-225 ปรับตัวขึ้นมาราว 20.13% 

 

ผมมองว่า Valuation ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นซื้อขายในระดับที่สมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในหลายประเทศ ญี่ปุ่นถูกมองว่ามีราคาหุ้นที่ “ถูก” หรือ “ยังมี upside 

 

” ให้ขยับขึ้นได้อีก ถ้าปัจจัยพื้นฐานดีขึ้น 

 

ปัจจัยหนุน Valuation ชี้ตลาดไปต่อหรือพัก?

 

ปีนี้เป็นปีที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีทิศทางฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Consumption) เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น เนื่องจากปีที่ผ่านมารัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปรับขึ้นค่าจ้างถึง 5% (Shunto wage negotiations) ทำให้ญี่ปุ่นสามารถพลิกออกจากภาวะเงินฝืดเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อได้สำเร็จ และปีนี้ยังเดินหน้าปรับขึ้นค่าจ้างข้าราชการ เฉลี่ย 3.62% นับเป็นการปรับขึ้นเงินเดือนสูงสุดในรอบ 34 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2534 ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการบริโภคในประเทศ

 

นอกจากนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังได้แรงหนุนจากการลงทุนในภาคธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตลอดจนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ล้อไปกับเทรนด์ AI 

 

ขณะที่ญี่ปุ่นสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นจาก 25% เหลือ 15% และลดภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นลงจาก 27% เหลือ 15% ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งสร้างความ Surprise เชิงบวกต่อตลาด แม้ญี่ปุ่นจะต้องลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเปิดตลาดให้สินค้าของสหรัฐฯ เข้าถึงมากขึ้น รวมถึงรถยนต์ รถบรรทุก ข้าว และสินค้าเกษตรบางประเภท ญี่ปุ่นจึงมีความเสี่ยงน้อยจากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในปัจจุบันหรือได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายกีดกันทางการค้า

ด้านเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ปัจจุบัน 3% ยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% ส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีท่าทีค่อยเป็นค่อยไปในการปรับขึ้นดอกเบี้ยและลดการทำ QE ทำให้ตลาดหุ้นไม่เกิดสภาวะแตกตื่น (Panic) เหมือนปีที่แล้ว 

 

นักวิเคราะห์มองว่า การจับจ่ายของผู้บริโภคฟื้นตัวจากค่าจ้างที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อจะช่วยให้ เงินเฟ้อค่อยๆ ลดลงจนต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ BOJ ในระยะ 3 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันในการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วได้

Bloomberg Consensus ประเมินว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นปี 2025 จะเติบโตได้ราว 1.2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าจะยังทรงตัวในระดับที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ 2% สะท้อนให้เห็นว่า ญี่ปุ่นสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ดี 

 

นักวิเคราะห์ยังประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนของญี่ปุ่นแข็งแกร่ง หลังจากครึ่งปีแรกเติบโตดี และคาดว่าจะต่อเนื่องไปถึงครึ่งหลังของปี 2025 โดยคาดว่าทั้งปีนี้ กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตได้ 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

 

นักลงทุนกลับมาเชื่อมั่นญี่ปุ่น

 

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับมาได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอีกครั้งคือ การปฏิรูปภายในประเทศ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ความจริงจังและกดดันให้บริษัทปรับปรุง Corporate Governance เพื่อเปลี่ยนภาพบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นให้สร้างผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น ผ่านมาตรการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง

 

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทในตลาดหุ้นญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่มีกระแสเงินสดสูง ได้ทำการซื้อหุ้นคืนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกัน การจ่ายเงินปันผลก็ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเข้มงวดกับการดำเนินการ Delist บริษัทที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งครึ่งปีแรกนี้ มี 59 บริษัทถูก Delist ออกจากตลาดหุ้น 

 

ปัจจัยเหล่านี้ได้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น 

 

ด้านความเสี่ยงที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังคงเติบโตในอัตราต่ำๆ 0-1% แนวโน้มนโยบายรัฐบาลและการใช้จ่ายภาครัฐ ในด้านการพึ่งพาภาคส่งออกระดับสูง ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีความเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก หรือสงครามการค้า และข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลาของข้อตกลงฯในการลดภาษีด้วย และที่สำคัญด้านการดำเนินนโยบายการเงิน หาก BOJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงและเร็ว อาจส่งผลกดดันราคาหุ้น และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน

 

แต่ในความวิตกกังวลต่อหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาปรับมุมมองต่อหุ้นญี่ปุ่นเป็นบวก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาปัจจัยเงินเฟ้อ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มนโยบายการเงินของ BOJ และอัตราแลกเปลี่ยน โดยหากเงินเยนอ่อนค่ามักช่วยเพิ่มรายได้แก่บริษัทส่งออก ถือเป็นอีกตลาดหุ้นโลกที่ควรกระจายลงทุนในภาวะโลกมีความไม่แน่นอนสูง

 

Warren Buffett ใส่เงินลงทุนเพิ่ม เดิมพันหุ้นกลุ่ม “Sogo Shosha”

 

ในปีนี้ นักลงทุนต่างชาติหลายรายเข้าลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นหลังคุณปู่ Buffett เพิ่มเงินลงทุนหุ้นญี่ปุ่นอีกแล้ว เรามาดูคุณปู่ลงทุนหุ้นอะไรอีกเหรอครับ

 

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ คุณปู่ Warren Buffett ได้เพิ่มการลงทุนในหุ้น “Mitsui” สัดส่วนเกิน 10% ผ่านบริษัท Berkshire Hathaway Inc. ของคุณปู่เรียบร้อยแล้ว จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Mitsui และหนุนแรงบวกต่อหุ้นเทรดดิ้งเฮาส์ (Sogo Shosha) โดยเฉพาะราคาหุ้น Mitsui พุ่งทันทีกว่า 2.2% และบริษัทเทรดดิ้งเฮาส์รายอื่นๆ อย่าง Mitsubishi, Itochu, Marubeni, และ Sumitomo ก็ปรับตัวขึ้นตาม ซึ่งทั้ง 4 ตัวนี้ติดพอร์ต Berkshire มา 5 ปีแล้ว

 

นับตั้งแต่ปี 2020 Berkshire เข้าลงทุนทั้ง 5 หุ้นเทรดดิ้งเฮาส์ชั้นนำของญี่ปุ่น มูลค่าถึง 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยแต่ละตัวถือไม่เกิน 10% แต่เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อบริษัทญี่ปุ่น “ผ่อนปรนเงื่อนไข” ทำให้ Buffett สามารถลงทุนเพิ่มได้ และคาดว่า Berkshire ยังอาจขยายเพิ่มสัดส่วนได้อีกในอนาคต

 

Sogo Shosha จัดเป็นบริษัทการค้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น และมีบทบาทสำคัญที่คอยเชื่อมโยงตลาดโลกกับธุรกิจในประเทศ ซึ่งยังมีอีก 2 บริษัทในกลุ่มนี้ด้วย คือ Toyota Tsusho และ Sojitz โดยบริษัทเทรดดิ้งเฮ้าส์ 5 แห่งนี้ ดำเนินธุรกิจที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ธุรกิจเคมีภัณฑ์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี เหมืองแร่ และบริการก่อสร้าง ไปจนถึง ฟาร์มปลาแซลมอน ซึ่งได้ขยายธุรกิจมากมาย จนมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและได้รับความเชื่อมั่นจากหุ้นส่วนธุรกิจทั่วโลก 

 

วันนี้ คุณปู่ Buffett เดิมพันใหญ่ในกลุ่ม “Sogo Shosha” ญี่ปุ่น เพราะเชื่อว่า หุ้นเหล่านี้ไม่ใช่แค่บริษัทเทรดสินค้า แต่คือธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่มีความหลากหลายกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ มุ่งเน้น “การคืนผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น” นี่คือการยืนยันว่า เทรดดิ้งเฮาส์ญี่ปุ่นน่าดึงดูดนักลงทุนระยะยาว 

 

การที่ Buffett หนุนหลังทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้ “เติบโตแซงดัชนี Topix” ของญี่ปุ่นไปได้ แต่ใดๆ แล้ว กว่าคุณปู่ Buffett จะเฟ้นหาหุ้นคุณภาพ ราคาเหมาะสมลงทุนจนมีกำไรมาได้ นั่นเป็นเพราะว่า คุณปู่และ Berkshire ทำการบ้านศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและแน่นอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจเข้าลงทุนในแต่ละครั้งด้วยนะครับ 

 

แนะ Rebalance หุ้นสหรัฐฯ ขายทำกำไร กระจายลงทุนหุ้นญี่ปุ่น

 

ผมยังยืนยันว่า ในสภาวะโลกการลงทุนที่มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน การปรับพอร์ต Rebalance ในช่วงนี้ยังเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นครับ

 

กลยุทธ์การลงทุนที่ดี คือ เน้นสร้างพอร์ตเติบโตมั่นคงในระยะยาว ซึ่งปกติผมจะแนะนำให้จัดพอร์ต Core & Satellite สัดส่วนลงทุน 80% และ 20% ตามลำดับ เพื่อให้สามารถปรับพอร์ตได้ง่าย เพราะจะเห็นว่า พอร์ตหลักและพอร์ตรองในตอนนี้มีสินทรัพย์ตัวไหนที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาเกินสัดส่วนแล้ว ก็ถึงเวลาต้องปรับพอร์ตให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนตามกรอบเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นการลดความเสี่ยงและรักษาทิศทางการลงทุนของคุณให้อยู่บนแผนที่วางไว้ ที่สำคัญช่วยให้มั่นใจว่าพอร์ตของคุณไม่เบี่ยงเบนมากเกินไปในช่วงที่ตลาดผันผวน

 

ในพอร์ตหลัก ให้เน้นลงทุนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรสหรัฐฯ หุ้นกู้คุณภาพ และถ้าเป็นหุ้นเน้นหุ้นประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น แต่ส่วนใหญ่จะถือหุ้นสหรัฐฯ กันมากกว่า 

 

ฉะนั้น หากวันนี้พอร์ตหลักของคุณถือหุ้นสหรัฐฯ อยู่และมีกำไรสูงจนทำให้เกินสัดส่วนที่เคยกำหนดไว้ ผมแนะนำให้ขายทำกำไรบางส่วน เพื่อนำเงินมากระจายลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นบ้าง ทางเลือกลงทุนที่ง่าย แนะนำให้ปรึกษาขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาการลงทุน ผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์หรือสอบถามผมและทีมงานเข้ามาได้เช่นกันครับ 

 

แต่จริงๆแล้ว หากคุณสนใจลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น แต่ไม่สะดวกการเลือกหุ้นญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับการเลือกลงทุนตลาดหุ้นแต่ละประเทศ ที่ผมมักจะแนะนำให้ลงทุนเป็นตัวดัชนีหรือ ETF ของตลาดนั้นๆ แทน เพราะจะสะท้อนการเติบโตตามเศรษฐกิจของประเทศครับ เหมือนกับลงทุนผ่านดัชนี Dow Jones ของสหรัฐฯ ที่เราคุ้นเคยกัน ส่วนของญี่ปุ่น จะเป็น ดัชนี Nikkei 225 ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 225 บริษัทชั้นนำที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว แบบครอบคลุมบริษัทยักษ์ใหญ่ที่คนทั่วโลกรู้จัก เช่น Toyota, Sony, SoftBank, Nintendo, Panasonic, และ Uniqlo (Fast Retailing) ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยและมีส่วนแบ่งการตลาดระดับโลก ซึ่งหนึ่งใน ETF “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” ที่น่าสนใจอย่าง JP Morgan BetaBuilders Japan ETF จะเห็นได้ว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้แล้ว +18% ครับ 

 

ส่วนคนที่ต้องการลงทุนเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม จะมีกลุ่มการเงินและธนาคารที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น หรือหากต้องการเฟ้นหาหุ้นรายตัว ผมมีข้อมูลวิเคราะห์หุ้นรายตัวที่คัดกรองเชิงลึกให้แล้ว สามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ Jitta.com ครับ 

 

ในวันนี้ “หุ้นญี่ปุ่น’ ยังเป็นขุมทรัพย์หุ้นคุณค่า (Value Stock) ที่ให้คุณคว้าโอกาสลงทุนในระยะยาวได้ เพราะตลาดญี่ปุ่นมีปัจจัยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม การปรับโครงสร้างบริษัท การจ่ายปันผล และที่สำคัญแรงหนุนจากนักลงทุนระดับโลกอย่างคุณปู่ Buffett ที่ยังทยอยเก็บสะสมไม่หยุด ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต้องหันมามองหุ้น Value ของญี่ปุ่น 

 

ผมหวังว่า คุณจะลองทำการบ้านศึกษาข้อมูลการลงทุนหุ้นญี่ปุ่นอย่างจริงจังและมองเห็นโอกาสเลือกลงทุนหุ้นญี่ปุ่น ติดพอร์ตไว้เป็นขุมทรัพย์หุ้นคุณค่า และที่สำคัญ คุณอย่าละเลยและหมั่นตรวจสอบคุณภาพสินทรัพย์ที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้พอร์ตของคุณเติบโตได้ดีในระยะยาว

 

ขอให้การลงทุนของคุณเป็นไปตามแผนและได้ผลตอบแทนที่ดีตามเป้าหมายครับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising