ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้กล่าวกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อวันอาทิตย์ว่า สหรัฐฯ และชาติพันธมิตร “จะตอบโต้อย่างเด็ดขาด หากรัสเซียรุกรานยูเครน” นับเป็นการตอกย้ำจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้
การสนทนาของผู้นำทั้งสองมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ไบเดนเพิ่งพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย และได้เรียกร้องให้ผู้นำรัสเซียคลี่คลายวิกฤตทางทหารที่ชายแดนยูเครน ก่อนที่เจ้าหน้าที่รัสเซียและสหรัฐฯ จะพบปะหารือกันที่เจนีวาช่วงปลายเดือนนี้
เซเลนสกีทวีตข้อความเมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า การโทรศัพท์พูดคุยกับไบเดนเน้นย้ำให้เห็นถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่พิเศษระหว่างสองประเทศ พร้อมเสริมว่าทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับการดำเนินการร่วมกันของยูเครน สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรในการรักษาสันติภาพในยุโรป การป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น การปฏิรูป และการล้มเลิกการปกครองแบบคณาธิปไตย
พร้อมกันนี้ประธานาธิบดียูเครนยังได้แสดงความ ‘ซาบซึ้งกับการสนับสนุนที่ไม่เปลี่ยนแปลง’ ของสหรัฐฯ
ทหารรัสเซียจำนวนมากถึง 100,000 นาย ยังคงรวมพลกันอยู่ที่ชายแดนยูเครน แม้จะมีคำเตือนจากไบเดนและผู้นำยุโรปถึงผลร้ายแรงที่อาจจะตามมาหากปูตินเดินหน้าบุกยูเครน ขณะที่ผลการศึกษาโดยหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ว่ารัสเซียอาจเริ่มโจมตียูเครน ‘อย่างเร็วที่สุดในช่วงต้นปี 2022’
ไบเดนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า เขาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์กับปูตินว่า รัสเซียจะต้องชดใช้อย่างสาสมหากบุกยูเครน และขู่ว่าจะคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ด้านปูตินบอกกับไบเดนว่า การคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่จะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพังทลายลงอย่างสมบูรณ์
ก่อนหน้านี้รัสเซียได้เรียกร้องสหรัฐฯ และ NATO หลายข้อเกี่ยวกับการรับประกันความมั่นคง ซึ่งรวมถึงการให้คำมั่นสัญญาว่า NATO จะไม่ขยายกองกำลังไปทางตะวันออก และจะไม่อนุญาตให้ยูเครนเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO อย่างไรก็ตาม ไบเดนได้ส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตของ NATO หรือยูเครน
ทั้งนี้ สหรัฐฯ และรัสเซียมีกำหนดประชุมร่วมกัน 3 งานในยุโรป ซึ่งรวมถึงการเจรจาทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย นำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เวนดี้ เชอร์แมน ในวันที่ 10 มกราคม ณ นครเจนีวา และการเจรจารัสเซีย-NATO ในวันที่ 12 มกราคม
ภาพ: Sarah Silbiger / Getty Images
อ้างอิง: