คืนนี้ (14 กุมภาพันธ์) เวลา 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย สหรัฐอเมริกาจะรายงานตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือนมกราคม ซึ่งเป็นตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางการลงทุนทั่วโลกหลังจากนี้
ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างเทขายตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก เพื่อถือเงินสดเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพของตลาดที่อยู่ในทิศทางของการพุ่งขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา กลับมาเป็นภาพของการย่อตัวหรืออาจไร้ทิศทางที่ชัดเจน
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า Fund Flow ตอนนี้ไหลออกจากตลาดหุ้นทั่วโลก หลังสหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนตำแหน่ง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสมมติฐานของนักลงทุนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยต่อในเดือนพฤษภาคมนี้ จากเดิมที่คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะจบลงตั้งแต่เดือนมีนาคม
“ราคาหุ้นและบอนด์ที่วิ่งขึ้นดีตั้งแต่ต้นปี ยิ่งจูงใจให้นักลงทุนขายทำกำไร และหันกลับมาถือเงินสด”
ตอนนี้ปัจจัยเรื่อง Fed ยังไม่นิ่ง ตัวเลขการจ้างงานเป็นเพียงส่วนแรกที่จะกำหนดทิศทางของ Fed หลังจากนี้คงต้องรอดูตัวเลขเงินเฟ้อที่จะออกมาในคืนนี้ และตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อของเดือนกุมภาพันธ์ที่จะประกาศในเดือนหน้าด้วย
“การลงทุนตอนนี้กลายเป็นภาพที่คลุมเครือต่อไปอีกหนึ่งเดือนเต็มๆ ตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาเซอร์ไพรส์ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ภาพการลงทุนเสียไป ทำให้นักลงทุนกล้าๆ กลัวๆ”
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินเฟ้อที่จะประกาศในคืนนี้อาจจะยังไม่ช่วยให้ภาพการลงทุนชัดเจนขึ้น หากเงินเฟ้อออกมาใกล้เคียงหรือต่ำกว่าที่คาด อาจช่วยให้ตลาดดีขึ้นได้ 1-2 วัน แต่กลับกันถ้าเงินเฟ้อสูงกว่าคาด อาจช่วยยืนยันความคิดของตลาดที่ว่า Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคมอย่างแน่นอน
“หากเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาด นักลงทุนจะเริ่ม Price In การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในเดือนพฤษภาคมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ แต่จะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงและสินค้าโภคภัณฑ์”
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงขาลง (Downside) ของตลาดอาจไม่มากนัก เพราะการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จะมาพร้อมกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ดี และตลาดน่าจะเริ่มหยุดลงเมื่อนักลงทุน 90% เริ่มเชื่อว่าตลาดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคม
สำหรับหุ้นไทย หากดัชนี SET ยังอยู่เหนือจุดสมดุลที่ 1,640 จุด นักลงทุนที่ยังถือเงินสดอาจไม่ต้องรีบร้อน เพื่อต่อรองราคาให้ดัชนีต่ำกว่าจุดสมดุลน่าจะได้เปรียบมากกว่า
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในช่วงนี้อาจโฟกัสกลุ่มหุ้นที่ยังไม่ประกาศงบและราคาอาจยังอยู่โซนล่าง ซึ่งสะท้อนข่าวร้ายค่อนข้างมากแล้ว ทำให้โอกาสที่ตลาดจะผิดหวังไปมากกว่านี้มีไม่มากนัก
“นักลงทุนอาจหาหุ้นที่ถูกกระแทกลงมาแรงๆ และต้องเป็นหุ้นที่ผลประกอบการจะเริ่มดีขึ้น หลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา อย่างที่เราเห็นจากกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งถูกกดดันจากต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ราคาก๊าซเริ่มลดลงพร้อมกับค่า ft ที่เพิ่มขึ้น”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- รวมมุมมองเซียน หลังราคา Bitcoin เคลื่อนไหวผิดคาดในปี 2022
- หายนะจากการล่มสลายของ FTX อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมคริปโตใน 3 มิติ
- ไขข้อข้องใจ ทำไมเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2023?