ผลการสำรวจประจำปีของ Robeco ที่สำรวจบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำทั่วโลกซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันกว่า 27 ล้านล้านดอลลาร์ พบว่าโมเดลธุรกิจ ESG หรือ Environment, Social และ Government กำลังส่งผลต่อแนวทางการลงทุนของนักลงทุนในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกให้แตกต่างกันออกไป โดยท่าทีของนักลงทุนสหรัฐฯ ล่าสุดพบว่ามีความลังเลในการลงทุนธีม ESG เพราะปัญหาในเชิงกฎหมายที่ยังไม่เอื้ออำนวย ขณะที่นักลงทุนในยุโรปและเอเชีย-แปซิฟิก กลับมองเห็นว่า ESG เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่ายตามแนวทางการลงทุนอย่างยั่งยืน
รายงานระบุว่า ขณะนี้เกือบครึ่งหนึ่งของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ต่างแสดงความกังวลว่าตนเองอาจจะเผชิญกับผลทางกฎหมาย หากลงทุนโดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ ESG
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ถ้อยแถลง ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ป่วนตลาด กดดาวโจนส์ร่วงกว่า 500 จุด นักลงทุนเทขายตั้งรับดอกเบี้ยขาขึ้น
- ดาวโจนส์ดิ่ง 600 จุด นักลงทุนหวั่น Fed ขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าคาด หลังภาคธุรกิจฟื้นตัวแข็งแกร่ง
- Dow Jones ร่วงตลอดเดือนกันยายนกว่า 9% ทำระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี พิษเงินเฟ้อพุ่ง-ดอกเบี้ยสูง ฉุดเศรษฐกิจถดถอย
โดยความกังวลดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ เพิ่งจะใช้อำนาจการโหวตยับยั้งครั้งแรกในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ปฏิเสธข้อเสนอของพรรครีพับลิกันที่จะกีดกันไม่ให้ผู้จัดการกองทุนบำเหน็จบำนาญตัดสินใจลงทุนในปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง ESG
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ทางวุฒิสภาที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากลงมติด้วยคะแนนเสียง 50 ต่อ 46 คว่ำมาตรการกฎกระทรวงแรงงานซึ่งจะเปิดทางให้ผู้จัดการกองทุนสามารถพิจารณาให้น้ำหนักธีมการลงทุนใน ESG รวมถึงประเด็นลงทุนอื่นๆ เนื่องจากเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคเดโมแครตที่สนับสนุนทุนนิยม และจะส่งผลกระทบต่อด้านการเงิน
เควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน อธิบายว่า แนวทางของพรรคเดโมแครตภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องการให้วอลล์สตรีทใช้เงินที่ประชาชนหามาอย่างยากลำบาก ไม่ใช่เพื่อเพิ่มเงินออม แต่เพื่อใช้เป็นทุนสำหรับวาระทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลลบต่อผู้สูงวัยและคนทำงาน
ขณะที่ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาโต้ว่า พรรครีพับลิกันตั้งใจแทรกแซงการตัดสินใจในการลงทุน
ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวจากพรรครีพับลิกันที่ออกมาผลักดันกฎหมายต่อการลงทุนใน ESG ในพื้นที่ 18 รัฐทั่วสหรัฐฯ
Robeco อธิบายว่า ขณะนี้ดูเหมือนมีแนวโน้มว่าการลงทุน ESG จะเป็นประเด็นการเลือกตั้งในสหรัฐฯ นักลงทุนในสหรัฐฯ อาจต้องหาทางนำสิ่งนี้มาพิจารณาในแนวทางการลงทุนของตนโดยที่ไม่ต้องขัดต่อกฎระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่านักลงทุนที่เชื่อว่าบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายมีส่วนรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อน ซึ่งจะส่งผลกระทบทางการเงินของบริษัทนั้นๆ ในทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม การสำรวจของ Robeco พบว่า นักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในยุโรปและเอเชีย-แปซิฟิก กลับเห็นตรงกันในการเดินหน้าสร้างแรงกดดันให้บริษัทในพอร์ตการลงทุนของตนแสดงความรับผิดชอบต่อภาวะโลกร้อนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยบริษัทจัดการกองทุนจำนวนมากเผยว่า ได้วางแผนที่จะใช้กลยุทธ์การมีส่วนร่วมเพื่อกดดันให้บริษัทต่างๆ เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น
ลูเซียน เปปเปเลนบอส (Lucian Peppelenbos) นักยุทธศาสตร์ด้านสภาพอากาศของ Robeco เขียนไว้ในรายงานว่า ปัญหาขาดแคลนพลังงานในปี 2022 บีบให้หลายประเทศทั่วโลกจำเป็นต้องใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม Robeco ก็เห็นอย่างชัดเจนว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นักลงทุนจะเพิ่มการยอมรับเกณฑ์มาตรฐานสภาพภูมิอากาศและการขายสินทรัพย์คาร์บอนสูง
นอกจากนี้ นักลงทุนในยุโรปและเอเชียกำลังรวมเอาความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับนโยบายของตนมากขึ้น และพยายามที่จะคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมของกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสำรวจในปี 2023 เกือบครึ่งหนึ่ง (เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ซึ่งอยู่ที่ 35%) ยอมรับว่า ความหลากหลายทางชีวภาพจะกลายเป็นปัจจัยการลงทุนที่สำคัญในอีก 2 ปีข้างหน้า และนักลงทุนจำนวนมากถึงสองเท่ากล่าวว่าตนเองจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นใจว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อประเทศกำลังพัฒนา
อ้างอิง: