บรรยากาศแห่งความหวาดระแวงแผ่ปกคลุมออฟฟิศทั่วสหรัฐฯ เมื่อความเชื่อมั่นของพนักงานร่วงลงสู่จุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 44.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ ตัวเลขนี้ลดลงอย่างน่าใจหายถึง 11.2% จากจุดสูงสุดในช่วงต้นปี 2022 บ่งชี้ถึงความกังวลที่พุ่งสูงขึ้นในกลุ่มคนทำงาน ในขณะที่บริษัทต่างๆ พากันปรับโครงสร้างองค์กรและลดขนาดพนักงานเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ข้อมูลจาก Glassdoor ซึ่งเป็นเว็บไซต์รีวิวบริษัทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่าการปลดพนักงานเป็นสาเหตุหลักของการดิ่งลงของความเชื่อมั่น โดยพวกเขาวัดความเชื่อมั่นผ่าน ‘สัดส่วนของพนักงานที่มองว่าธุรกิจจะเติบโตในอีก 6 เดือนข้างหน้า’ เดือนกุมภาพันธ์มีการปลดคนทำงานมากถึง 172,017 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิดในกลางปี 2020 นับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะตึงเครียดในตลาดแรงงานที่กำลังเกิดขึ้น
Daniel Zhao นักเศรษฐศาสตร์จาก Glassdoor อธิบายสถานการณ์ว่า “คนทำงานมีความต้องการที่จะลาออก แต่ไม่มีโอกาสในตอนนี้” พวกเขาจึงติดอยู่ในงานปัจจุบันที่อาจทำให้รู้สึกไม่มีแรงจูงใจและไม่มีส่วนร่วม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและผลผลิตขององค์กรโดยรวม
ความไม่มีส่วนร่วมนี้อาจแสดงออกในรูปแบบของการขาดความกระตือรือร้น การลดลงของความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานแบบ ‘แค่ให้ผ่านไปวันๆ’ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับองค์กรในระยะยาว
แม้แต่คนที่รอดพ้นจากการถูกไล่ออกก็ยังรู้สึกเครียดไม่แพ้กัน Zhao กล่าวในรายงานว่า พนักงานเหล่านี้กำลังเผชิญกับความกดดันสองทาง ทั้งจากการรอคอยด้วยความหวาดกลัวว่าตัวเองจะเป็นเหยื่อรายต่อไปในรอบการปลดพนักงานครั้งใหม่
และจากภาระงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเพราะต้องแบกรับงานของเพื่อนร่วมงานที่ถูกปลดออกไปแล้ว ในหลายบริษัท พนักงานหนึ่งคนต้องทำงานที่เคยใช้สองหรือสามคนทำ โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น
ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือหน่วยงานภาครัฐและการบริหารสาธารณะ ซึ่งมีระดับความเชื่อมั่นเพียง 38.1% และลดลงถึง 7.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว Zhao อธิบายว่าการลดลงนี้เป็นผลมาจากนโยบายการลดขนาดภาครัฐที่นำโดย Elon Musk ในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสและกรมประสิทธิภาพของรัฐบาล ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานระบุว่างานในรัฐบาลกลางลดลงถึง 10,000 ตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์เพียงเดือนเดียว
ร้านอาหารและธุรกิจบริการอาหารก็มีระดับความเชื่อมั่นต่ำพอๆ กันที่ 38.1% ซึ่งเผยให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในอุตสาหกรรมที่มักเป็นด่านหน้ารับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งตามมาติดๆ ด้วยระดับความเชื่อมั่นที่ 38.3%
ขณะที่วงการศิลปะ ความบันเทิง และนันทนาการมีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 39.2% ทำให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรมที่มักพึ่งพาการใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงของผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งแรกๆ ที่คนตัดลดเมื่อเศรษฐกิจเริ่มซบเซา
นอกจากนี้ ธุรกิจด้านอากาศยานและการป้องกันประเทศก็พบกับการลดลงของความเชื่อมั่นอย่างมีนัยสำคัญถึง 6.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนองค์กรไม่แสวงผลกำไรและเอ็นจีโอต่างๆ ก็พบกับการลดลง 4.0%
ทั้งสองกลุ่มนี้พึ่งพาสัญญาและเงินทุนจากรัฐบาลเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อรัฐบาลเริ่มตัดงบประมาณ พวกเขาจึงได้รับผลกระทบโดยตรง “การตัดงานและสัญญาจ้างเป็นน้ำหนักสำคัญต่อความรู้สึกของพนักงานในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาเงินทุนของรัฐบาลกลาง” Zhao กล่าว
เมื่อมองในแง่ของตำแหน่งงาน ผู้จัดการระดับกลางเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยความเชื่อมั่นลดลง 1.7% นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว เทรนด์นี้เริ่มต้นเมื่อ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ประกาศนโยบายให้เพิ่มสัดส่วนของพนักงานปฏิบัติการต่อผู้จัดการ ซึ่งเท่ากับเป็นการลดจำนวนผู้จัดการลงนั่นเอง
ศาสตราจารย์ Naeem Zafar จาก UC Berkeley เตือนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่า “สิ่งที่คุณเห็นจาก Amazon เป็นเพียงจุดเริ่มต้น” และดูเหมือนคำทำนายของเขากำลังเป็นจริง เมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มตระหนักว่าโครงสร้างการบริหารที่มีชั้นผู้จัดการหลายชั้นอาจไม่จำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไม่เพียงแต่ผู้จัดการระดับกลางเท่านั้นที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน ความเชื่อมั่นของพนักงานระดับอาวุโสและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานระดับเริ่มต้นก็ลดลงในเดือนกุมภาพันธ์เช่นกัน โดยความเชื่อมั่นของพนักงานใหม่ดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นการตอกย้ำถึงความยากลำบากในการเริ่มต้นอาชีพในสภาพแวดล้อมที่ไม่มั่นคงเช่นนี้
ทางออกของวิกฤตความเชื่อมั่นนี้อาจเริ่มต้นจากความจริงใจ Zhao แนะนำให้นายจ้างสื่อสารอย่างเปิดเผยและโปร่งใสกับพนักงาน แม้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน การให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของบริษัทและการตัดสินใจสำคัญๆ จะช่วยลดความกังวลและสร้างความไว้วางใจในหมู่พนักงาน แม้จะไม่สามารถรับประกันความมั่นคงในงานได้ก็ตาม
สำหรับคนทำงานทั่วสหรัฐฯ สถานการณ์นี้เหมือนการเดินบนเส้นลวดที่ไม่มีตาข่ายรองรับ ในด้านหนึ่งคือความกลัวการถูกปลด อีกด้านคือความไม่พอใจในงานที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อฟองสบู่แห่งการจ้างงานยุคโควิดเริ่มแตก และบริษัทต่างๆ หันมาใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น
คำถามที่ทุกคนกำลังค้นหาคำตอบคือ อะไรคือจุดสมดุลใหม่ของตลาดแรงงานอเมริกัน และใครจะเป็นผู้อยู่รอดในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่นี้?
อ้างอิง: