สหรัฐฯ ประกาศเก็บค่าธรรมเนียมใหม่ ‘Visa Integrity Fee’ 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 8,000 บาท) มีผล 1 ต.ค. 2025 ขึ้นแท่นประเทศที่มีวีซ่าท่องเที่ยวแพงสุดในโลก อาจกระทบซ้ำวิกฤตท่องเที่ยว ฟุตบอลโลก 2026 และโอลิมปิก 2028 ที่ใกล้จะมาถึง
รายงานข่าวระบุว่า สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญแรงกดดันใหม่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หลังรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บค่าธรรมเนียมใหม่ ‘Visa Integrity Fee’ มูลค่า 250 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 8,000 บาท ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าสหรัฐฯ สูงถึง 442 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 16,000 บาท
ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในค่าธรรมเนียมวีซ่าที่แพงที่สุดในโลก และอาจยิ่งซ้ำเติมปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ จากการปราบปรามผู้อพยพและความไม่เป็นมิตรต่อหลายประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีนักเดินทางต่างชาติ 19.2 ล้านคน ลดลงถึง 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และนับเป็นเดือนที่ 5 ของปีนี้ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวหดตัว แม้ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายคาดว่า ปี 2025 จะเป็นปีที่สหรัฐฯ ฟื้นตัวเต็มที่และกลับมามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 79.4 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับก่อนการระบาดโควิด-19
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของสมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐอเมริกา ค่าธรรมเนียมวีซ่าใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ จะเพิ่มอุปสรรคให้กับนักเดินทางจากประเทศที่ไม่ได้รับการยกเว้นวีซ่า เช่น เม็กซิโก อาร์เจนตินา อินเดีย บราซิล และจีน ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ค่าธรรมเนียมวีซ่ารวมอยู่ที่ 442 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในค่าธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สูงที่สุดในโลก
เกบ ริซซี ประธานบริษัทอัลทัวร์ บริษัทจัดการการท่องเที่ยวระดับโลก กล่าวว่า แรงกดดันที่เราเพิ่มให้กับประสบการณ์ของนักเดินทางจะส่งผลให้ปริมาณการเดินทางลดลงไปบ้าง เมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลง เรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนมากขึ้น และเราจะต้องรวมค่าธรรมเนียมเหล่านี้ ให้พร้อมเกี่ยวกับการวางแผนงบประมาณการเดินทางและเอกสารต่างๆ
สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (WTO) คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในสหรัฐฯ จะลดลงต่ำกว่า 169 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ จาก 181 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมวีซ่ายิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ซึ่งนโยบายการเข้าเมือง และ การตัดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศ และภาษีศุลกากรที่บานปลาย ได้กัดกร่อนเสน่ห์ของอเมริกาในฐานะจุดหมายปลายทาง แม้จะมีงานสำคัญๆ อย่างฟุตบอลโลก 2026 และโอลิมปิกที่ลอสแอนเจลิส 2028 ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ตาม
อีกทั้ง รัฐบาลทรัมป์ได้เสนอกฎระเบียบของรัฐบาลเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจำกัดระยะเวลาของวีซ่าสำหรับนักเรียน นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และสื่อมวลชน
ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม รัฐบาลกล่าวว่าสหรัฐฯ อาจกำหนดให้มีพันธบัตรมูลค่าสูงสุด 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับวีซ่าท่องเที่ยวและวีซ่าธุรกิจบางประเภท ภายใต้โครงการนำร่องที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะมีอายุประมาณ 1 ปี เพื่อปราบปรามนักท่องเที่ยวที่พำนักอยู่เกินกำหนดวีซ่า
อารัน ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายศึกษาอุตสาหกรรมของ Tourism Economics ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาของ Oxford Economics คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนธันวาคม 2024 ว่า การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมายังสหรัฐอเมริกาในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่กลับมีแนวโน้มลดลง 3% แทน
“เรามองว่านี่เป็นการถดถอยที่ต่อเนื่อง และเราคาดว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตลอดช่วงการบริหารประเทศ” ไรอันกล่าว
โดย ณ เดือนพฤษภาคม การเดินทางจากเม็กซิโกมายังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเกือบ 14% ในปี 2025 ตามข้อมูลของสำนักงานการเดินทางและการท่องเที่ยวแห่งชาติ
หากดูจำนวนนักท่องเที่ยวจากอาร์เจนตินาเพิ่มขึ้น 20% และจากบราซิลเพิ่มขึ้น 4.6% นับตั้งแต่ต้นปี โดยรวมแล้ว การเดินทางจากอเมริกากลางเพิ่มขึ้น 3% และจากอเมริกาใต้เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับการลดลง 2.3% จากยุโรปตะวันตก
ขณะที่จีน จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงลดลงนับตั้งแต่เกิดการระบาด โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนกรกฎาคมยังคงต่ำกว่าระดับปี 2019 ถึง 53% ค่าธรรมเนียมวีซ่ายังส่งผลกระทบต่อการเดินทางจากอินเดีย ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 2.4% ในปีนี้ เนื่องจากจำนวนนักศึกษาลดลงเกือบ 18%
สำหรับบางคน ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นจะมีผลเป็นเพียงค่าใช้จ่ายอีก ส่วนหนึ่งในการเดินทางสู่สหรัฐอเมริกาที่มีราคาแพงอยู่แล้ว
“สหรัฐอเมริกามีการคัดเลือกนักท่องเที่ยวมาโดยตลอด หากฐานะทางการเงินของคุณไม่ดีพอ การขอวีซ่าก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว” ซู ชู ผู้ก่อตั้งบริษัท Moment Travel ในเฉิงตูของจีนกล่าว
เจมส์ คิทเช่น ตัวแทนท่องเที่ยวและเจ้าของ Seas 2 Day & Travel กล่าวว่า เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องเผชิญกับค่าธรรมเนียมการเข้าเมืองที่สูงขึ้น นักท่องเที่ยวชาวสหรัฐฯ จึงกังวลเกี่ยวกับข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นในต่างประเทศ
ภาพ: cmart7327 / Getty Images
อ้างอิง: