อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะได้ยลโฉม iPhone 15 กันแล้วนะครับ จากการเปิดตัวในงาน Apple Event Wonderlust วันที่ 12 กันยายน เวลา 10 โมงเช้าตามเวลามาตรฐานแปซิฟิก หรือราวเที่ยงคืนของวันที่ 13 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย
ปกติการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ของ iPhone ควรจะเห็นราคาหุ้น Apple ปรับเพิ่มขึ้น แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้น Apple กลับปรับตัวลดลงหลังจากที่จีนได้ออกมาตรการควบคุมการใช้ iPhone ของเจ้าหน้าที่รัฐของรัฐบาลจีน สร้างแรงกดดันให้ราคาหุ้น Apple ร่วงลงมาต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
ประเด็นความขัดแย้งของจีนและสหรัฐฯ จะกระทบกับหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่เราได้เห็นว่าตั้งแต่ต้นปีมานี้ตลาดหุ้น NASDAQ วิ่งกันคึกคักอย่างที่สุด ทั้งที่เมื่อต้นปีตลาดกังวลว่าสหรัฐฯ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่แท้ๆ
ว้าวุ่นเลยทีนี้ ผมอดคิดถึงวลีสุดฮิตที่กำลังเป็นไวรัลอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ทีเดียวครับ
เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นเทค ยังเข้าลงทุนได้หรือไม่ วันนี้ผมจะค่อยๆ ต่อภาพจิ๊กซอว์เป็นคำตอบให้ครับ
มองข้ามช็อตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกอยู่ก้นกระทะในปีหน้า
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ออกมาระบุเมื่อเดือนสิงหาคมว่า Fed อาจจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ยอมรับความเสี่ยงที่เกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งขึ้น พร้อมกับเน้นย้ำว่า จะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการตัดสินใจว่าจะกระชับนโยบายการเงินหรือไม่ เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อให้เหลือ 2%
ในตลาดก็ยังให้มุมมองที่แตกเป็น 2 ฝั่ง ในรอบการประชุมเดือนกันยายนนี้ (19-20 กันยายน) ฝั่งหนึ่งคาดว่า Fed ยังคงขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง และจะคงดอกเบี้ยยาวตลอดปีนี้ และอีกฝั่งที่คาดว่า Fed จะคงดอกเบี้ยไว้
ถึงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะลดลงจากจุดสูงสุดที่ 7% เหลือ 3.3% ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่พาวเวลล์ก็ยังตั้งข้อสังเกตว่า อัตราเงินเฟ้อ ‘ยังคงสูงเกินไป’ (เขายังคงเป้าหมายที่ 2%) และ Fed ยังคงเน้นเรื่องอัตราการว่างงานด้วย ซึ่งล่าสุดตัวเลขว่างงานสหรัฐฯ เดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 187,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นแตะ 3.8% ใกล้เคียงกับเป้าหมายของ Fed ที่ 4% และมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 3.5%
จากสัญญาณที่ขัดแย้งกันในระบบเศรษฐกิจ เช่น การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและภาคที่อยู่อาศัยที่อาจฟื้นตัว ทำให้ Fed พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
แม้ว่า Fed ยังคงปักหลักการต่อสู้ที่ดุเดือดในการนำเงินเฟ้อกลับลงมาโดยให้กระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะทำได้โดยไม่เกิดปัญหาอะไร แต่รายละเอียดพื้นฐานต่างมีแนวโน้มที่ดี ขณะที่ไตรมาสแรกปีนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 1.3% และไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.4% ซึ่งออกมาดีเกินคาด และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ปี 2023 เติบโต 1.7% และในปี 2024 เติบโต 1% ซึ่งต่ำกว่าปีนี้
ผมมองว่า ‘เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ก้นกระทะ’ หรือ Bottom แล้วครับ หากมองใน Base Case มีความเป็นไปได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว แต่หากมอง Worse Case ก็อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเกิดการว่างงานจำนวนมากขึ้น แต่นั่นก็หมายถึงสัญญาณที่บ่งชี้ Fed อาจพิจารณาจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้า เพื่อประคองเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้าอย่างไม่สะดุดหรือหดตัวแรงเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกต่างคาดหวังกัน
โค้งสุดท้ายดอกเบี้ยขึ้นสูงสุด Bond Yield อ่อน ถึงเวลาตลาดหุ้น
วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ ใกล้จะยุติแล้วจริงหรือไม่ หลังจากที่ผ่านมา Fed ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อสูงมายาวนาน ในการประชุมของ Fed ในรอบเดือนกันยายนนี้ ตลาดคาดหวังว่าจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปี โดยดอกเบี้ย Fed จะทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง จนมั่นใจว่าทิศทางภาวะเงินเฟ้อจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมาย 2% ได้ และอัตราว่างงานเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งผมก็มองว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ใกล้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว สะท้อนได้จากพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อัตราผลตอบแทนจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยล่าสุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 4.27% จากที่เคยขึ้นสูงสุด 4.34% เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา
หากดูการเคลื่อนไหว Fed Fund Futures ยังมองว่าดอกเบี้ยของ Fed เมื่อสิ้นปี 2024 มีโอกาสจะอยู่ที่ 4.5-4.75% สะท้อนมุมมองของตลาดว่า Fed มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยในปีหน้ามากถึง 100 bps จากดอกเบี้ยสูงสุดในกรอบบนที่ 5.5% ในช่วงสิ้นปีนี้ และหากสัญญาณ Fed Fund Futures เป็นจริง แปลว่าตลาดหุ้นจะได้ปัจจัยบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่กำลังจะเปลี่ยนทิศสู่ขาลง ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นบวกต่อภาคธุรกิจที่มีต้นทุนทางการเงินลดลง ส่งผลดีต่อผลประกอบการ ซึ่งก็สะท้อนกลับไปที่ราคาหุ้น และน่าจะเห็นตลาดหุ้นกลับมาเติบโตอีกครั้ง
จริงอยู่ว่าดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวระดับสูงจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน แต่ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการต่างมีการปรับตัวกันไปหลายระลอกและตอนนี้น่าจะชินกับภาวะดอกเบี้ยสูงกันไปแล้ว
มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจที่มีรายได้สูง บริษัทต่างๆ มีขนาดใหญ่และกระจายไปหลากหลายอุตสาหกรรม สถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐยังถือว่าเป็นสกุลเงินสำคัญที่สุดของโลก ทำให้สหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นทางการเงินสูงอยู่
และสหรัฐฯ ยังคงความเป็นเจ้าโลกแห่งเทคโนโลยีอยู่ คงจำกันได้เมื่อปลายปีที่แล้ว สหรัฐฯ ประกาศเปิดตัว ChatGPT สร้างความฮือฮาให้กับทั่วโลก และเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกที่มีหุ่นยนต์อัจฉริยะ ChatGPT ที่สามารถพูดโต้ตอบทุกคำถาม มีคำตอบในเวลาสั้นๆ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ได้ไวมากขึ้นแก่ผู้ใช้งาน AI Chatbot ถือเป็นสุดยอดความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโลกอนาคต
โดยภาพรวมของสหรัฐฯ ข่าวร้ายกำลังจะเคลื่อนย้ายและข่าวดีใหม่ๆ ก็มีเข้ามา ผมถือเป็นเรื่องดีต่อนักลงทุนที่จะเริ่มหันกลับมามองการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะนาทีนี้ที่นักลงทุนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘หุ้น US Tech กลับมาแล้ว’
โค้งสุดท้าย ลงทุนหุ้นเทคสหรัฐฯ รับ AI Boom แค่ DCA ง่ายๆ
ปีนี้ ดัชนี NASDAQ ได้รับแรงหนุนหลักจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และความสนใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ AI สะท้อนจากดัชนี NASDAQ Composite ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ในรอบ 40 ปี โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 32.74% และดัชนี S&P 500 ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามถึง 16.38%
ลบล้างความเจ็บปวดจากเมื่อปีที่แล้ว ที่ตลาดหุ้นเทคสหรัฐฯ เข้าถ้ำจำศีลสู่ภาวะหมีโดยสมบูรณ์ หลังดัชนี NASDAQ ถูกปัจจัยลบรุมเร้ามากมายจาก Fed เดินหน้าเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น นักลงทุนพากันกระหน่ำขายหุ้นเทคออกมา ทำให้ในปี 2022 มูลค่าตลาดในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หายไปกว่า 20% เลวร้ายที่สุดในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่วิกฤตดอทคอม
หากใครถามว่า ตลาดเข้าสู่ภาวะกระทิงแล้วหรือไม่ จะยังลงทุนได้ไหม ผมยังให้มุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นเทคสหรัฐฯ อยู่ครับ เพราะว่า
ประเด็นแรก บรรยากาศ (Sentiment) เชิงบวกนี้ไม่ได้ขึ้นมาสูงในระดับนี้ตั้งแต่ช่วงธันวาคมปี 2021 ก่อนการปรับตัวลดลงของตลาดทั้งปี 2022 และในปีนี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 กันยายน ดัชนี NASDAQ อยู่ที่ระดับ 13,700 จุด ส่วนค่า P/E อยู่ที่ 23.25 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 25.96 เท่า โดยมุมมองทั้งหมดที่ดีขึ้นต่อตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าสหรัฐฯ ไม่น่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากงบการเงินไตรมาส 2 ของธนาคารพาณิชย์ที่ออกมาดีกว่าคาด และหากปี 2024 ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงตามที่ตลาดคาดการณ์ จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มเทค เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง พร้อมกับแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นเทคปี 2023-2024 ทั้งส่วนรายได้ กำไร และกำไรต่อหุ้น (EPS) มีโอกาสที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ให้เห็นครับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนยังมีอยู่และยากจะคาดเดาได้ล่วงหน้า แต่ความไม่แน่นอนนี้เป็นเรื่องปกติของโลกแห่งการลงทุนอยู่แล้ว เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงลดทอนได้จากการทำการบ้าน วิเคราะห์ให้รอบคอบ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและไม่ตื่นตูม คุณก็จะมั่นใจกับการลงทุนและคว้าผลตอบแทนได้ครับ
ประเด็นที่สอง กระแส AI Boom เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หุ้น US Tech หลุดพ้นจากภาวะหมี และกลับมาวิ่งได้อีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นเทคในตลาด NASDAQ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเดียวที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นตั้งแต่ต้นปี 2023 และนักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์ผลการดำเนินงานในปีนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทเทครายใหญ่ ทั้ง Apple, Microsoft, Alphabet และ Meta ในไตรมาส 1 ปี 2023 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยมี Apple เป็นผู้นำตลาด ทั้งยังลงไฮไลต์ไว้ให้อีกว่า US Tech ยักษ์ใหญ่ทั้ง 4 รายนี้ ต่างมี AI Story เป็นตัวชูโรงที่ช่วยดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น
ผมขอยกตัวอย่าง Microsoft ซึ่งเป็นผู้ลงทุนหลักใน ChatGPT หลังการเปิดตัว ChatGPT เพียงสัปดาห์เดียวราคาหุ้น Microsoft ปรับตัวขึ้นถึง 6.5% โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาหุ้น Microsoft ก็เพิ่มขึ้นกว่า 30% แล้ว และที่น่าจับตาคือในอนาคต ChatGPT อาจเข้ามาแย่งเค้กของธุรกิจเสิร์ชเอนจินยักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่ตอนนี้ครองมาร์เก็ตแชร์สูงถึง 93% โดย Microsoft มีแผนที่จะผสานเสิร์ชเอนจินของตัวเองอย่าง Bing เข้ากับ ChatGPT และคาดว่า Bing จะมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 3% ได้ ซึ่งหากมาร์เก็ตแชร์ของ Bing เพิ่มขึ้นทุก 1% รายได้ก็จะเพิ่มขึ้น 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประเด็นที่สาม หุ้นเทคโนโลยีเป็น Growth Stock ซึ่งเวลาออกผลิตภัณฑ์ใหม่ จะเป็นผลบวกต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาว เป็นแรงส่งให้หุ้นวิ่งรับข่าว ยิ่งมีกระแส AI Boom กระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีของธุรกิจต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เร่งปรับตัวโดยการออกโปรดักต์ที่เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางการตลาดก่อนใคร รวมทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นให้ธุรกิจอื่นๆ นำ AI Chatbot ไปประยุกต์ใช้ เพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ เช่น ธุรกิจ Delivery Platform หรือ Booking Platform รวมทั้งการใช้ AI ในการพัฒนากราฟิกหรือการ์ดจอ GPU (Graphics Processing Unit) ของธุรกิจเกม
แนวโน้มภาคธุรกิจทุกบริษัทหันมาใช้เทคโนโลยี AI ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งลดต้นทุน ผลิตงานออกมาเร็วกว่าปกติ จึงหนีไม่พ้นที่ภาคธุรกิจจะกลับมาลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคตแล้ว บริษัทและองค์กรต่างๆ ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านระบบป้องกันภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ทำให้ผลการดำเนินของธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ AI, Cybersecurity และ Semiconductor ที่ได้ประโยชน์จากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ด้วย
การเติบโตของตลาดส่วนใหญ่ เป็นผลมาจากหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกันกับการใช้ AI ซึ่งอาจมีการปรับตัวของราคาที่ค่อนข้างผันผวนในช่วง 6 เดือนหลังนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ธุรกิจจำนวนมากก็ยังคงนำ AI มาใช้มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถกระตุ้นความสนใจในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวครับ
ทั้งนี้ PwC ได้คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของตลาด AI ไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อคนทั่วไปสามารถเข้าถึง AI ได้ง่ายขึ้น จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับโลกได้ 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 และ ChatGPT จะทำให้ข้อมูลบนโลกเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 2 ปี ผ่านคอนเทนต์และบทความที่มนุษย์และ AI สร้างขึ้น ส่งผลดีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ไปด้วย ทำให้มูลค่าตลาด AI ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2026 หรือเติบโต 19% ต่อปีนับจากนี้
ประเด็นที่สี่ สงครามระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มากระทบกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ อาจจะถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าลงทุน แต่อย่าลืมว่าเมื่อยักษ์ใหญ่เข่นเขี้ยวกัน ตลาดก็จะขึ้นๆ ลงๆ เป็นระยะ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีนะครับ เพราะมองไปแล้วราคาหุ้น US Tech ที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นมา โดยภาพรวมยังถือเป็นระดับที่สามารถเข้าลงทุนได้
แนวทางการลงทุนที่ผมเชื่อมั่นและพิสูจน์ได้คือการทำ DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยอย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุนแล้ว คุณยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว ตามหลักการของนักลงทุนสาย VI หรือถ้าคุณใช้วิธี DCA อยู่แล้ว เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงก็อาจใส่เงินลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสะสมหุ้นตอนราคาต่ำๆ
และอีกหนึ่งกลยุทธ์คลาสสิกตลอดกาลคือ การลงทุนตามรอยปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่จะทำให้คุณชนะในทุกศึกการลงทุนก็คือ เลือกลงทุนในบริษัทที่มีกำไรดี เพราะจะมีการจ่ายปันผลคืนให้ผู้ถือหุ้น และเลือกลงทุนในบริษัทที่อนาคตดี โดยการซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม เพื่อโอกาสทำกำไรในวันข้างหน้า การที่จะเฟ้นหาหุ้นที่มีคุณสมบัติแบบนี้ได้นั้น คุณจะต้องผ่านการศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดีเหมือนปู่ครับ เพราะปู่จะทำการบ้านอย่างหนัก โดยเฉพาะศึกษางบการเงินให้ทะลุปรุโปร่งก่อนตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นใดหุ้นหนึ่งครับ
และนาทีนี้หากคุณกำลังตกใจกับหุ้น Apple ที่ร่วงลงแรง ผมก็อยากแอบเตือนสติเบาๆ ว่า หุ้น Apple ถือเป็นหุ้นลูกรักของปู่บัฟเฟตต์เลยก็ว่าได้ เพราะปู่ลงทุนหุ้น Apple คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของพอร์ตหุ้น Berkshire Hathaway ทีเดียว
ผมเชื่อว่านักลงทุนสาย VI แทบทุกคน มีปู่บัฟเฟตต์เป็นไอดอล อยากสะสมความมั่งคั่งให้ได้แบบปู่ แต่ใช่ว่าทุกคนจะเดินตามรอยปู่ได้ทุกฝีก้าว เพราะแต่ละคนมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป แต่ในวันนี้ข้อจำกัดของทุกคนจะลดลง ด้วยศักยภาพของ AI เราสามารถเลือก ‘ลงทุนในบริษัทที่ดีในราคาที่เหมาะสม’ ตามแนวทางของปู่ได้ง่ายขึ้น และเมื่อ ‘ปัจจัยพื้นฐาน x เทคโนโลยี’ สูตรการคอลแลบนี้อาจทำให้นักลงทุนสาย VI อย่างคุณ เป็นทั้ง ‘ลูกรัก AI และหลานรัก วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ได้ในคราวเดียวกัน
ถ้าคุณอยากได้ข้อมูลการลงทุนหุ้นเทคสหรัฐฯ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://blog.jittawealth.com/ ครับ
ขอให้มีความสุขทุกการลงทุนนะครับ