×

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ยังร่วงต่อเนื่อง นักลงทุนจับตาทิศทางราคาน้ำมัน หวั่นทำเงินเฟ้อพุ่ง กดดันเศรษฐกิจ

30.09.2021
  • LOADING...
หุ้นเทคโนโลยี

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (29 กันยายน) ปิดผสมผสาน โดยขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ดาวโจนส์และ S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับปรับเพิ่ม 90.73 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 34,390.72 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 6.83 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 4,359.46 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 34.24 จุด หรือ 0.24% ปิดที่ 14,512.44 จุด

 

นักลงทุนยังคงกังวลต่อความเคลื่อนไหวในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ที่ยังไม่สามารถหาข้อตกลงการขยายเพดานหนี้และหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาล ขณะที่ทิศทางนโยบายลดปริมาณการซื้อคืนพันธบัตรรายเดือนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 1.56%

 

ด้านค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อเทียบกับตะกร้าเงิน ยังเป็นปัจจัยฉุดราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำปรับร่วงลงต่ำสุดในรอบกว่า 6 เดือน โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 14.60ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 1,722.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

 

ขณะที่ราคาน้ำมันขยับลงเล็กน้อย หลังคลังปิโตรเลียมสำรองสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกินคาดและดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสงวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 46 เซนต์ ปิดที่ 74.83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 45 เซนต์ ปิดที่ 78.64 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

 

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มทิศทางขาขึ้น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย รวมถึง Morgan Stanley ออกโรงเตือนว่า น้ำมันราคาแพงจะส่งผลกระทบทางลบที่ทำลายความต้องการบริโภคน้ำมัน หรือดีมานด์ในตลาด จนกระเทือนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก

 

ทั้งนี้ Morgan Stanley เตือนว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งแตะระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลไม่ใช่เรื่องดีต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะอาจส่งผลให้เกิดการทำลายอุปสงค์ในตลาด โดยแม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันในช่วงปลายปีมักจะเพิ่มสูงขึ้นอยู่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องกำลังการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอีก จนผู้บริโภคไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลดความต้องการใช้น้ำมันของตนเองลง

 

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าวิตกกังวลมากกว่าหากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นก็คือเรื่องอัตราเงินเฟ้อ โดย สตีเฟน เบรนน็อค นักวิเคราะห์อาวุโสของ PVM Oil Associates ในอังกฤษระบุว่า ปัจจัยน้ำมันแพงมีผลกดดันอัตราเงินเฟ้อให้พุ่งสูงขึ้นเสมอ แต่ท่ามกลางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากวิกฤตโรคโควิดระบาดในปัจจุบัน ราคาน้ำมันแพงและเงินเฟ้อจะกลายเป็นอุปสรรคและความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

 

นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นที่ร่วงหนักเมื่อวาน (29 กันยายน) โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีซึ่งถือเป็นหุ้นเติบโต หรือ Growth Stock ของนักลงทุนในตลาด ยังส่งผลให้กองทุนรายใหญ่ชั้นนำของราชินีนักลงทุน แคธี วูด แห่ง ARK Investment ตัดสินใจขายหุ้น Tesla, Inc. ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของสหรัฐฯ มูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังการเทขายของนักลงทุนในตลาดกระตุ้นการไหลออกจากกองทุนที่เน้นการเติบโตของวูด

 

อ้างอิงจากการอัปเดตการเทรดรายวันของบริษัทพบว่า กองทุน ETF ทั้งสามกองทุนของ ARK Investment Management ได้ ปล่อยมือจากหุ้น Tesla มากกว่า 340,000 หุ้น กระนั้น ทางกองทุนของ ARK อย่าง ARK Innovation ETF (ARKK) ยังคงมีหุ้นของ Tesla ในความครอบครองอยู่ที่ราว 11% ซึ่งทาง Bloomberg รายงานว่า ปกติ ARK มีแนวโน้มจะปรับสัดส่วนการถือหุ้นในกองทุนหากว่าสัดส่วนดังกล่าวมีขนาดเกิน 10%

 

ความเคลื่อนไหวของ ARK ยังมีขึ้นท่ามกลางรายงานที่ระบุว่า บรรดาผู้จัดการการเงินถอนเงิน 297 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากกองทุนที่เน้นการเติบโตของ ARK เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือได้ว่ามากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ส่งผลให้มีการไหลออก 4 วันต่อเนื่อง ที่ผ่านมามีมูลค่ามากกว่า 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising