ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทะยานขึ้นทั้ง 3 ดัชนีหลักเมื่อวานนี้ (19 ส.ค.) โดยดัชนี Dow Jones ปิดพุ่งขึ้น 249.78 จุด ขานรับสัญญาณบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้าของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและเยอรมนี หลังธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศผ่อนปรนกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อธุรกิจให้ง่ายขึ้นและต้นทุนกู้ยืมที่ถูกลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones พุ่งขึ้น 249.78 จุด หรือ 1% ปิดที่ 26,135.79 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 34.97 จุด หรือ 1.2% ปิดที่ระดับ 2,923.65 จุด ซึ่งเป็นการปิดบวก 1% ติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2018 ส่วนดัชนี Nasdaq Composite ทะยานขึ้น 106.82 จุด หรือ 1.4% ปิดที่ 8,002.81 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปัจจัยบวก หลังทรัมป์ทวีตข้อความเผยว่า สหรัฐฯ และจีนกำลังพูดคุยกันอยู่ นอกจากนี้เขายังลดกระแสความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ด้วยการระบุว่า การยุติสงครามการค้าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้
อีกหนึ่งปัจจัยบวกที่หนุนตลาดเมื่อวานนี้มาจากความเคลื่อนไหวของจีน โดยแบงก์ชาติจีนได้ประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท LTR ใหม่ ซึ่งเป็นการลดต้นทุนการกู้ยืมสำหรับบริษัทต่างๆ ที่เป็นลูกค้าชั้นดี รวมถึงผ่อนปรนความเข้มงวดสำหรับธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อธุรกิจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงาน หลังเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณชะลอตัว โดยที่ผ่านมาจีนต้องการให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงชนิดนี้เป็นเครื่องสะท้อนดีมานด์การลงทุนในตลาดที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ PBOC
นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากข่าวที่เยอรมนีเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมด้วย
ทั้งนี้ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ จากสัญญาณ Inverted Yield Curve ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดว่า สหรัฐฯ อาจเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2020 หรือ 2021 เป็นอย่างช้า เพราะในอดีตที่ผ่านมา หากเกิดกรณีที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดต่ำกว่าผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี หรือเกิด Inverted Yield Curve ขึ้น มักเป็นสัญญาณเตือนว่า อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: