รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มต้นการสอบสวนการนำเข้าโรบอต เครื่องจักรอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นการปูทางสำหรับมาตรการภาษีรอบใหม่ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าขยายระบอบภาษีนำเข้า
กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการสอบสวนภายใต้มาตรา 232 ของพระราชบัญญัติการขยายการค้า ตามประกาศของ Federal Register การสอบสวนเริ่มต้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ภายใต้กฎหมายที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีสามารถเรียกเก็บภาษีสินค้าที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติได้ กระทรวงฯ มีเวลา 270 วันในการเสนอคำแนะนำด้านนโยบาย
การสอบสวนรอบใหม่ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมที่อาจถูกเก็บภาษี ขณะที่ทรัมป์ต้องการกระตุ้นการผลิตภายในประเทศในอุตสาหกรรมสำคัญด้วยการทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น
ปัจจุบันยังมีการสอบสวนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ เซมิคอนดักเตอร์ เครื่องบิน แร่ธาตุสำคัญ รถบรรทุกขนาดกลางและหนัก และสินค้าอื่นๆ อยู่แล้ว โดยรัฐบาลทรัมป์เคยใช้กฎหมายนี้เพื่อเก็บภาษีกับรถยนต์ ทองแดง เหล็ก และอะลูมิเนียมมาแล้ว
มาตรการด้านการค้าดังกล่าวยังถูกมองว่าเป็น ‘เครื่องป้องกัน’ ให้ทรัมป์ หากศาลกลางตัดสินยกเลิกภาษีที่บังคับใช้กับหลายสิบประเทศภายใต้อำนาจฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบันศาลฎีกาได้ตกลงที่จะพิจารณาคดีท้าทายภาษีเหล่านั้น หลังจากที่ศาลล่าง 2 แห่งตัดสินว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ภาษีที่ออกตามมาตรา 232 มักมีอายุการบังคับใช้นานกว่า แม้มีการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีก็ตาม แต่ใช้เวลานานกว่าจะมีผลบังคับใช้ เมื่อเทียบกับภาษีที่ทรัมป์เคยออกภายใต้กฎหมายพระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ
การสอบสวนครั้งใหม่นี้สะท้อนถึงความกังวลของเจ้าหน้าที่บางส่วนในรัฐบาลทรัมป์เกี่ยวกับการพึ่งพาประเทศต่างชาติของสหรัฐฯ สำหรับเวชภัณฑ์สิ้นเปลืองหลายประเภท เช่น เข็มฉีดยา ไหมเย็บแผล สายสวน และผ้ากอซ กระทรวงพาณิชย์ยังจะตรวจสอบการค้าสินค้าป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น ถุงมือและหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายระหว่างการระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ การสอบสวนเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ใหม่นี้จะไม่ครอบคลุมถึงยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ ยาชีวภาพ และยาอื่นๆ ซึ่งกำลังถูกตรวจสอบอยู่แล้วภายใต้การสอบสวนแยกต่างหากของกระทรวงพาณิชย์
สำหรับการสอบสวนด้านโรบอตและเครื่องจักรอุตสาหกรรมจะเน้นไปที่ระบบเครื่องจักรกลที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องกัดโลหะ และเครื่องปั๊มขึ้นรูปที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในโรงงาน ตามประกาศในทะเบียนของรัฐบาลกลาง
ภาพ: chaofann/Getty Images
อ้างอิง:
