เมื่อวานที่ผ่านมา (25 ก.ค.) วิลเลียม บาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เผยว่า ขณะนี้สภาคองเกรสและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามอนุมัติให้สำนักงานราชทัณฑ์กลางเตรียมการประหารชีวิตนักโทษ 5 ราย ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ถึงเดือนมกราคมปีหน้า ถือเป็นการประหารชีวิตนักโทษครั้งแรกในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่การประหารชีวิต ลูอิส โจนส์ ผู้ลงมือฆาตกรรมทหารหญิงเมื่อปี 2003
โดยนักโทษกลุ่มแรกมีจำนวน 5 ราย ทั้งหมดถูกศาลฎีกาในกรุงวอชิงตันพิพากษายืนบทลงโทษประหารชีวิต คนแรกคือ แดเนียล ลูอิส ลี สมาชิกกลุ่มคลั่งคนผิวขาวสุดโต่งที่สังหารยกครัว 3 ชีวิต ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเพียงเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ก่อนที่จะนำศพใส่ถุงถ่วงหินทิ้งลงแม่น้ำสายหนึ่งในรัฐอิลลินอยส์ จะได้รับโทษประหารวันที่ 9 ธันวาคม 2019 ตามมาด้วย เลซมอนด์ มิทเชล ที่สังหารคุณยายวัย 63 ปีและหลานสาววัย 9 ปี ก่อนอำพรางศพ จะได้รับโทษประหารวันที่ 11 ธันวาคม 2019
ในขณะที่ เวสลีย์ เพอร์คีย์ ที่ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงวัย 16 ปี ก่อนใช้มีดหั่นร่างของเธอออกเป็นส่วนๆ และใช้ไฟเผาศพเพื่ออำพรางคดี ก่อนพบความผิดอีกคดีว่าเป็นผู้ลงมือใช้ค้อนทุบคุณยายวัย 80 ปีที่ป่วยด้วยโรคโปลิโอจนเสียชีวิต จะได้รับโทษประหารวันที่ 13 ธันวาคม 2019 ส่วน อัลเฟรด บัววาร์ ที่ลงมือทรมานและข่มขืนลูกสาววัยเพียง 2 ปีครึ่งจนเสียชีวิต และ ดัสติน ลี โฮนเกน ผู้ลงมือสังการเหยื่อ 5 รายเมื่อปี 2004 จะได้รับโทษประหารวันที่ 13 และ 15 มกราคม 2020 ตามลำดับ
ศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตของสหรัฐฯ ระบุว่า นับตั้งแต่สหรัฐฯ นำโทษฯ ประหารชีวิตกลับมาใช้อีกเมื่อปี 1988 มีนักโทษเพียง 3 รายที่ถูกประหารชีวิตคือ ทิโมธี แม็คเวห์ มือระเบิดเมืองโอคลาโฮมา และ ฆวน ราอุล การ์ซา ที่ลงมือสังหารกลุ่มคนค้ายา 3 ราย เมื่อปี 2001 รวมถึง ลูอิส โจนส์ ที่กล่าวไปข้างต้น โดยรัฐบาลวอชิงตันมีนักโทษรอรับการประหารชีวิตอีกอย่างน้อย 62 ราย ซึ่งรวมถึง โชการ์ ซานาเยฟ มือระเบิดบอสตันมาราธอน เมื่อปี 2013 และ ดีแลนน์ รูฟ ชาวอเมริกันคลั่งคนผิวขาวที่สังหารคนผิวสีไป 9 ราย จากเหตุกราดยิงที่โบสถ์ชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อปี 2015
ทางด้าน เบอร์นี แซนเดอร์ส ประกาศจะยกเลิกโทษประหารชีวิตในระดับประเทศ หากเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 โดยเขาระบุว่า “โลกใบนี้มีความรุนแรงมากพอแล้ว รัฐบาลไม่ควรที่จะเพิ่มมันขึ้นอีก ถ้าผมเป็นประธานาธิบดี ผมจะยกเลิกบทลงโทษดังกล่าว”
ภาพ: View Apart / Shutterstock
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: