วานนี้ (30 มิถุนายน) แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เผยว่ากระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เตรียมอนุญาตให้พลเมืองอเมริกันสามารถระบุเพศ X ได้ในพาสปอร์ต เพิ่มเติมจากตัวเลือกที่มีแค่เพศชาย (M) หรือเพศหญิง (F) เท่านั้น เพื่อสนับสนุนความหลากหลายทางเพศในสังคมอเมริกัน
“กระทรวงการต่างประเทศกำลังเริ่มเดินหน้าเตรียมอนุญาตให้ระบุเพศ X ได้ในพาสปอร์ต เพื่อรองรับพลเมืองอเมริกันที่เป็น Non-Binary, Intersex รวมถึง Gender Non-conforming เพศอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของแค่เพศชายและเพศหญิง โดยทางการกำลังประเมินวิธีการที่ดีที่สุดที่จะประสบความสำเร็จกับเป้าที่วางไว้ ที่ต้องการจะสนับสนุนเสรีภาพ ศักดิ์ศรี และความเท่าเทียมกันของพลเมืองทุกคน”
เบื้องต้นบลิงเคนระบุว่า ยังไม่สามารถระบุช่วงเวลาที่จะเริ่มอนุญาตให้ระบุเพศ X ในพาสปอร์ตได้อย่างแน่ชัด แต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของชุมชน LGBTQ+ ในสังคมอเมริกัน ภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยข่าวดีดังกล่าวมีขึ้นภายหลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางการรัฐนิวยอร์กประกาศอนุญาตให้พลเมืองภายในรัฐระบุเพศ X ได้ในใบขับขี่และบัตรประจำตัวประชาชน รวมถึงเอกสารราชการอื่นๆ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายประเทศก็เริ่มอนุญาตให้ระบุเพศ X ในพาสปอร์ตได้แล้ว แต่อาจมีเงื่อนไขแตกต่างกัน เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย เยอรมนี และอินเดีย
โดยในปีนี้ไบเดนได้เปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับความหลากหลายทางเพศ แต่งตั้ง พีต บุตติเจจ นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีคมนาคมคนใหม่ รัฐมนตรี LGBTQ คนแรกของสหรัฐฯ ที่ผ่านมติเห็นชอบของวุฒิสภา รวมถึงเสนอชื่อ ดร.ราเชล เลอวีน คุณหมอทรานส์เจนเดอร์ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐฯ คนใหม่ ส่งผลให้ ดร.เลอวีน เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เป็นทรานส์เจนเดอร์คนแรกที่ได้รับการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐฯ และแต่งตั้งให้ เจสสิกา สเติร์น ดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษด้านสิทธิ LGBTQ+ อย่างเป็นทางการอีกด้วย
นอกจากนี้ ไบเดนถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่รับรองความสำคัญของวัน International Transgender Day of Visibility มีการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ยกเลิกคำสั่งแบนของทรัมป์ที่ห้ามบุคคลข้ามเพศเข้าเป็นทหารในกองทัพ ขยายสวัสดิการของบรรดาทหารที่ปลดประจำการให้ครอบคลุมการผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ รวมถึงลงนามรับรองให้ Pulse Nightclub ในรัฐฟลอริดาที่เกิดเหตุกราดยิงเมื่อปี 2016 เป็นอนุสรณ์ระดับชาติ ที่เตือนความจำให้ทุกคนรับรู้ถึงอีกหนึ่งประวัติศาสตร์บาดแผลที่เกิดขึ้นกับชุมชน LGBTQ+ ในสังคมอเมริกัน
ภาพ: Jonathan Ernst / Reuters
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: