ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน ทางออกที่สหรัฐฯ กำลังจะทำคือการร่างกฎหมาย ‘การเก็บภาษีมหาเศรษฐี’ ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ ซึ่งถูกเสนอโดยพรรคเดโมแครต เพื่อที่จะนำเงินจากภาษีเหล่านี้มาใช้กับโครงข่ายรองรับทางสังคม (Social Safety Net) ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตต่างๆ ผู้ที่ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น
มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ณ เวลานี้คือ อีลอน มัสก์ โดยบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของเขาอย่าง Tesla แทบจะเรียกได้ว่าถูกสร้างขึ้นมาด้วยเงินของรัฐบาลเลยก็ว่าได้ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลต้องการจูงใจให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น จึงออกนโยบายต่างๆ เพื่อสนับสนุน
โดยบริษัทที่ได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ เลยคือ Tesla ซึ่งผลกำไรส่วนใหญ่ในปัจจุบันของบริษัทมาจากการขายเครดิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่รัฐบาลกำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ ต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ตามจำนวนที่กำหนด ถ้าผลิตไม่ถึงที่กำหนดจะต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ต้องมาซื้อเครดิตจาก Tesla แทน เนื่องจาก Tesla มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วเป็นจำนวนมาก จนสามารถขายเครดิตให้กับผู้ผลิตรายอื่นๆ ได้อย่างเหลือเฟือ
ซึ่งการสนับสนุนของรัฐบาลนี้อาจเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม Tesla ถึงมีมูลค่ามากกว่า Toyota ถึง 3 เท่า ทั้งๆ ที่ขายรถยนต์ได้น้อยกว่ามาก
นอกจากนั้นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง ProPublica ได้เปิดเผยว่า อีลอน มัสก์ ยังเป็น 1 ในเหล่ามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ที่ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย อย่างมหาเศรษฐีอีกคนที่ใช้วิธีการเดียวกันนี้คือ เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าของ Amazon และบริษัทท่องอวกาศอย่าง Blue Origin
ล่าสุด มัสก์ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยทวีตว่า ‘การเก็บภาษีเหล่าเศรษฐี’ จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาลได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่ควรแก้ไขจริงๆ คือการใช้จ่ายของรัฐบาลมากกว่า พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า หากรัฐเก็บภาษีจากเหล่ามหาเศรษฐีได้ครบ 100% แล้วก็ยังไม่พอต่อการใช้หนี้อยู่ดี และต้องหันไปเก็บภาษีเพิ่มกับประชาชนทั่วไปในภายหลัง โดยทวีตเพิ่มเติมว่าหากเก็บจากเหล่ามหาเศรษฐีแล้วก็ยังได้เพียงแค่ 10% ของ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ของหนี้ที่มีอยู่เท่านั้น และอีก 90% ที่เหลือจะเก็บจากใคร ก็เก็บจาก ‘คุณ’ ไง
ทำไมภาษีมหาเศรษฐีจึงจำเป็น?
มหาเศรษฐีระดับโลกหลายคนใช้การหลีกเลี่ยงภาษีโดยวิธีการ ‘ซื้อ กู้ ตาย’ อธิบายโดยศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย เอ็ดเวิร์ด เจ. แมคคอฟเฟอรี โดยมหาเศรษฐีจะนำเงินที่ได้จากบริษัทไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ แทนการถือเป็นเงินสด ตราบใดที่ทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ได้ถูกนำไปขายก็จะไม่ต้องเสียภาษี
ต่อมาคือการ ‘กู้’ มหาเศรษฐีจะเลือกรับเงินเดือนจำนวนน้อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้ แต่จะรับเป็นหุ้นแทนซึ่งมีอัตราภาษีที่น้อยกว่า หรืออีกวิธีคือใช้การกู้แทน เนื่องจากมหาเศรษฐีเหล่านี้มีเครดิตที่ดีมากจึงเสียดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำมากๆ ประมาณแค่ 3% เท่านั้น
และวิธีสุดท้ายคือ ‘ตาย’ เมื่อเหล่ามหาเศรษฐีต้องจากโลกนี้ไป จะสามารถถ่ายโอนทรัพย์สินต่างๆ ให้กับทายาทได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ที่ดิน บ้าน รถ นอกจากนั้นเหล่ามหาเศรษฐียังจัดตั้งมูลนิธิ กองทุนต่างๆ เพื่อบริจาคให้กับสังคมอยู่เรื่อยๆ เมื่อมหาเศรษฐีเหล่านั้นตายไปจะได้รับการยกเว้นภาษีในการถ่ายโอนอสังหาริมทรัพย์ให้กับลูกหลาน
สรุปก็คือเหล่ามหาเศรษฐีมีเงินมากมายมหาศาล แต่กลับจ่ายภาษีจริงในอัตราที่ต่ำกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก ยกตัวอย่าง อีลอน มัสก์ ไม่มีการเสียภาษีเลยในปี 2018 จากการใช้วิธีการต่างๆ เหล่านี้
ภาษีมหาเศรษฐีทำงานอย่างไร?
แผนการเก็บภาษีมหาเศรษฐีของ รอน ไวเดน วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกา พรรคเดโมแครต มีความยาวถึง 107 หน้า โดยสำนักข่าว CNN สรุปมาดังนี้ สำหรับสินทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้อย่างหุ้น มหาเศรษฐีจะต้องจ่ายภาษีที่ได้กำไรจากการขายหุ้นในอัตรา 23.8% แต่พวกเขาก็สามารถนำส่วนที่ขาดทุนจากหุ้นไปชดเชยภาษีเงินได้หรือภาษีที่ได้จากกำไรในอนาคตได้ โดยสามารถนำส่วนที่ขาดทุนย้อนหลังถึง 3 ปี มาชดเชยภาษีในอนาคตได้
นอกจากนั้นไวเดนยังมีวิธีที่ชาญฉลาดในการจัดการกับมหาเศรษฐีที่โอนความมั่งคั่งไปยังอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่สามารถซื้อขายได้ โดยจะไม่เก็บภาษีทุกปี แต่จะคิดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเมื่อขายสินทรัพย์เหล่านั้นแทน
แน่นอนว่าภาษีมหาเศรษฐีจะกระทบกับเหล่ามหาเศรษฐีเป็นหลัก จากข้อมูลของสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ระบุว่า มีประชากรทั้งหมดประมาณ 333 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา และมีไม่เกิน 700 คนเท่านั้นที่เป็นมหาเศรษฐี หรือเท่ากับ 0.0002% ของประชากรทั้งหมด โดยการเก็บภาษีมหาเศรษฐีจะเก็บกับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ (3.3 พันล้านบาท) ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี
นอกจากนั้นในสหรัฐฯ ยังมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา อย่างบริษัทผู้ผลิตวัคซีน Moderna และบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ก็ได้รับเม็ดเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับ Tesla ซึ่งการเก็บภาษีมหาเศรษฐีนี้จะสามารถนำเงินมาพัฒนาสังคม และลดความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงในสหรัฐฯ ได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ภาพ: Patrick Pleul – Pool/Getty Images
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2021/10/27/politics/billionaire-tax-what-matters/index.html
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-27/elon-musk-says-taxing-billionaires-won-t-ease-debt-burden
- https://www.youtube.com/watch?v=AP6HkUt9oLk
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP