ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Strategy: NSS) ฉบับใหม่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวานนี้ (5 ธันวาคม) ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ จะต้องมี ‘ความเป็นเลิศเหนือกว่า’ (Preeminence) ในซีกโลกตะวันตก ซึ่งสะท้อนถึงแรงผลักดันของทรัมป์ในการครอบงำภูมิภาค ทั้งยังระบุให้มีการสร้างสมดุลทางการค้ากับจีน และยับยั้งจีนจากการเข้ายึดไต้หวัน
จุดที่แตกต่างระหว่าง ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่นี้กับยุทธศาสตร์ความมั่นคงฯ ฉบับก่อนหน้าที่เผยแพร่ในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อปี 2022 คือ NSS ฉบับใหม่นี้ไม่ได้เน้นไปที่จีนเป็นหลัก หรือกำหนดให้การแข่งขันกับปักกิ่งเป็นความท้าทายอันดับแรกสำหรับสหรัฐฯ
แต่รัฐบาลสหรัฐฯ กลับเน้นย้ำ ‘นโยบายไม่แทรกแซง’ ซึ่งสะท้อนถึงการที่ทรัมป์ไม่สนับสนุนหรือดูแคลนต่อแนวคิดพหุภาคีและองค์กรระหว่างประเทศ พร้อมระบุว่า ‘หน่วยการเมืองพื้นฐานของโลกคือรัฐชาติ (Nation-State) และจะยังคงเป็นรัฐชาติ’
ประเด็นสำคัญใน NSS ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ
1. การเป็นมหาอำนาจครอบงำซีกโลก (Hemispheric Dominance)
สหรัฐฯ กำลังหาทางฟื้นฟูและรักษาอำนาจที่โดดเด่นเหนือกว่า (Preeminence) ในซีกโลกตะวันตก (Western Hemisphere) ซึ่งรวมถึงทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยการตอกย้ำ ‘หลักการมอนโร’ (Monroe Doctrine) ซึ่งเป็นนโยบายของสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 19 ที่ต่อต้านการล่าอาณานิคมและการแทรกแซงของยุโรปในทวีปอเมริกา
โดยสหรัฐฯ จะปฏิเสธไม่ให้คู่แข่งที่ไม่ได้อยู่ในซีกโลกตะวันตก (Non-Hemispheric Competitors) มีความสามารถในการวางกำลัง หรือเข้าควบคุมทรัพยากรที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ยุทธศาสตร์ใหม่นี้ จะเน้นการต่อสู้กับการค้ายาเสพติดและการย้ายถิ่นฐานที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจภาคเอกชน และการให้รางวัลแก่รัฐบาลในภูมิภาคที่สอดคล้องกับหลักการของสหรัฐฯ
ทรัมป์ได้นำแนวทางนี้ไปปฏิบัติแล้วโดยการสนับสนุนนักการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมในลาตินอเมริกาอย่างเปิดเผย เช่น การช่วยเหลือเศรษฐกิจอาร์เจนตินาภายใต้การนำของประธานาธิบดีฝ่ายขวา ฆาเบียร์ มิเลย์ ด้วยเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
NSS ยังเสนอให้มีการโยกย้ายทรัพยากรทางด้านการทหารของสหรัฐฯ ไปยังซีกโลกตะวันตก โดยย้ายออกจากภูมิภาคที่ความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาลดลงในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา
ยุทธศาสตร์นี้เกิดขึ้นพร้อมกับการที่สหรัฐฯ เพิ่มการโจมตีเรือต้องสงสัยว่าบรรทุกยาเสพติดในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแอตแลนติก โดยทรัมป์ยังได้สั่งเสริมกำลังทางทหารรอบเวเนซุเอลา และขู่จะโจมตีภาคพื้นดินต่อเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมถึงกดดันประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโรของเวเนซุเอลาที่ทรัมป์มองว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยให้ยาเสพติดและอาชญากรไหลทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ
2. การยับยั้งความขัดแย้ง กรณีไต้หวัน
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสองฉบับก่อนหน้านี้ รวมถึงฉบับที่เผยแพร่ในช่วงวาระแรกของทรัมป์ในทำเนียบขาว ได้ระบุว่า การแข่งขันกับจีน เป็น ‘ลำดับความสำคัญสูงสุด’ สำหรับสหรัฐฯ แต่การแข่งขันกับจีน ไม่ได้ถูกนำมาเป็นประเด็นหลักใน NSS ฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม เอกสารยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการชนะการแข่งขันทางเศรษฐกิจในเอเชียและสร้างสมดุลทางการค้ากับจีน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เอกสารได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกับพันธมิตรในเอเชีย เพื่อสร้างสมดุลต่อจีน โดยเจาะจงไปที่อินเดีย
เอกสารยังได้ระบุถึง ‘ความเสี่ยง’ ที่จีนอาจเข้ายึดไต้หวันโดยใช้กำลัง โดยระบุว่าเกาะที่ปกครองตนเองซึ่งจีนอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของตนนั้น เป็นผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ การยึดไต้หวันจะทำให้จีนสามารถเข้าถึงห่วงโซ่เกาะที่สอง (Second Island Chain) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเสริมตำแหน่งของตนในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการค้าโลก
ดังนั้น การยับยั้งความขัดแย้งเหนือไต้หวัน โดยในแนวทางอุดมคติคือ การรักษาอำนาจทางทหารที่เหนือกว่าไว้ จึงเป็นลำดับความสำคัญ ยุทธศาสตร์นี้เรียกร้องให้พันธมิตรของสหรัฐฯ ในพื้นที่แถบนั้นเพิ่มการใช้จ่ายทางทหาร เพื่อยับยั้งความขัดแย้ง โดย NSS ยังระบุว่า กองทัพสหรัฐฯไม่สามารถและไม่ควรทำสิ่งนี้เพียงลำพัง พันธมิตรจะต้องยกระดับให้มากขึ้น สำหรับการป้องกันร่วมกัน
3. ประณามยุโรปเรื่องเสรีภาพ
แม้ว่าทรัมป์จะต่อต้านกระแสวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลในสหรัฐฯ และสั่งให้กระทรวงยุติธรรมมุ่งเป้าไปที่คู่แข่งทางการเมืองของตน แต่ NSS ฉบับใหม่นี้กลับตำหนิและประณามยุโรปในประเด็นการเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดและการปราบปรามฝ่ายค้านทางการเมือง
ยุทธศาสตร์นี้ระบุว่ายุโรปกำลังเผชิญกับ ‘โอกาสของการล่มสลายทางอารยธรรม’ (Prospect of Civilizational Erasure) เนื่องจากนโยบายการย้ายถิ่นฐานและการบังคับใช้กฎระเบียบ ‘ที่ล้มเหลว’
นอกจากนี้ ยังตำหนิเจ้าหน้าที่ยุโรปว่ามีความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล ในกรณีสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยสหรัฐฯ มี ‘ผลประโยชน์หลัก’ ในการยุติความขัดแย้งดังกล่าว
NSS ยังแนะนำว่า สหรัฐฯ อาจจะถอนร่มเงาความมั่นคงที่เคยปกป้องทวีปยุโรปมาอย่างยาวนานออกไป โดยสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับการให้ยุโรปสามารถ ‘ยืนหยัดด้วยตัวเอง’ และปฏิบัติการในฐานะกลุ่มประเทศอธิปไตยที่สอดคล้องกัน โดยรับผิดชอบใน ‘การป้องกันตัวเอง’ โดยไม่ถูกครอบงำโดยอำนาจของฝ่ายปฏิปักษ์ใดๆ
4. เปลี่ยนจุดเน้นจากตะวันออกกลาง
NSS เน้นย้ำว่าตะวันออกกลาง ‘ไม่ได้’ เป็นลำดับความสำคัญทางยุทธศาสตร์สูงสุดของสหรัฐฯ อีกต่อไป เหตุผลในอดีตที่ทำให้ภูมิภาคนี้มีความสำคัญ เช่น การผลิตพลังงานและความขัดแย้งที่แพร่หลาย ‘ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป’ ยุทธศาสตร์ใหม่นี้ระบุว่า เนื่องจากสหรัฐฯ เพิ่มการผลิตพลังงานของตนเอง เหตุผลทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ในการมุ่งเน้นไปที่ตะวันออกกลาง ‘จะลดลง’
แม้ว่าตะวันออกกลางจะยังคงมีความขัดแย้ง แต่ NSS คาดการณ์ถึงอนาคตที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยจะกลายเป็น ‘จุดหมายปลายทางของการลงทุนระหว่างประเทศ’ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม NSS ยังคงยอมรับว่าสหรัฐฯ มีผลประโยชน์สำคัญในตะวันออกกลาง รวมถึงการรับรอง ‘ความมั่นคงของอิสราเอล’ และการปกป้องการขนส่งและแหล่งพลังงาน ส่วนช่วงเวลาที่ตะวันออกกลางได้ครอบงำนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ‘ได้สิ้นสุดลงแล้ว’
5. ‘สัจนิยมที่ยืดหยุ่น’ (Flexible Realism)
สหรัฐฯ จะดำเนินการตามผลประโยชน์ของตนเองในการติดต่อกับประเทศอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ จะไม่ผลักดันให้มีการเผยแพร่ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
NSS ระบุว่า สหรัฐฯ แสวงหาความสัมพันธ์ที่ดีและสันติทางการค้ากับนานาประเทศ โดยไม่ ‘กำหนดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือประชาธิปไตย’ ที่แตกต่างอย่างมากจากประเพณีและประวัติศาสตร์ของประเทศเหล่านั้น
เอกสารนี้ระบุว่า สหรัฐฯ จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่มีระบบการปกครองและสังคมที่แตกต่างจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์นี้ยังคงแนะนำว่าสหรัฐฯ จะยังคงกดดันบางประเทศ (โดยเฉพาะพันธมิตรตะวันตก) เกี่ยวกับคุณค่าที่เห็นว่าสำคัญ เช่น การต่อต้านข้อจำกัดต่อเสรีภาพที่เป็นผลมาจากชนชั้นนำ
โดยรวมแล้ว NSS ฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญใหม่ โดยให้ความสำคัญ ไปที่ซีกโลกตะวันตก และลดบทบาทในพื้นที่ที่เคยมีความสำคัญสูง เช่น ตะวันออกกลางและยุโรป เพื่อมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของชาติโดยตรง และใช้กรอบการทำงานแบบ ‘ไม่แทรกแซง’ ในการติดต่อกับประเทศต่างๆ
ภาพ: Hector Vivas via Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.whitehouse.gov/wp-content/uploads/2025/12/2025-National-Security-Strategy.pdf
- https://www.aljazeera.com/news/2025/12/5/five-key-takeaways-from-trumps-national-security
- https://www.nytimes.com/2025/12/05/us/politics/trump-national-security-strategy.html
- https://www.politico.com/news/2025/12/05/trump-reveals-national-security-strategy-western-hemisphere-europe-00678265?cid=apn


