ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแปลง การต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายจะไม่ใช่สิ่งที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกอีกต่อไป แต่สหรัฐฯ จะโฟกัสไปที่การผงาดขึ้นมาของ ‘มหาอำนาจลัทธิแก้’ (Revisionist Power) อย่างจีนและรัสเซียที่กำลังท้าทายการจัดระเบียบโลกของสหรัฐฯ
คำยืนยันนี้มาจาก เจมส์ แมตทิส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ
นายใหญ่ของเพนตากอนกล่าวที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า การแข่งขันระหว่างประเทศมหาอำนาจกลายเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก เพราะภัยคุกคามต่อผลประโยชน์แห่งชาติที่มาจากประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซียนั้นทำให้สหรัฐฯ ต้องปรับเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคง
เกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา นับจากเหตุการณ์วินาศกรรมโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก หรือเหตุการณ์ 9/11 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับการทำสงครามกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เช่น กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) และอัลกออิดะห์ในอิรัก ซีเรีย และอัฟกานิสถาน
แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธ IS ได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอลง และถูกกองกำลังของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรอาหรับกวาดล้างจนถอยร่นออกจากฐานที่มั่นสำคัญหลายแห่งทั้งในอิรักและซีเรีย
และเมื่อบวกกับการที่รัสเซียและจีนกำลังขยายบทบาทและอิทธิพลบนเวทีโลกมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในช่วงที่สหรัฐฯ หันไปให้ความสำคัญกับนโยบาย ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ทำให้อิทธิพลของสหรัฐฯ ถดถอยลงอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ในปีที่ 2 ของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ สหรัฐฯ จึงต้องกลับลำและเข้าไปมีบทบาทในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น
การจัดระเบียบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ กำลังถูกท้าทาย
สหรัฐฯ เชิดชูค่านิยมประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม และใช้ค่านิยมนี้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศมาตลอด ด้วยหวังว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม แมตทิสกล่าวว่า “เรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศมหาอำนาจลัทธิแก้ทั้งจีนและรัสเซียที่พยายามจัดระเบียบโลกใหม่ด้วยโมเดลเผด็จการอำนาจนิยม”
สำหรับรัสเซียนั้น แมตทิสเตือนว่าหากรัสเซียพยายามเข้ามายุ่มย่ามกับประชาธิปไตยของสหรัฐฯ อีก ระวังเจอดีแน่ “ถ้าคุณท้าทายเรา มันจะเป็นวันที่เลวร้ายและยาวนานที่สุดสำหรับคุณ”
ทั้งนี้รัสเซียถูกกล่าวหาว่าพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในปี 2016 ขณะที่ทางการสหรัฐฯ ยังอยู่ในระหว่างตรวจสอบกรณีการติดต่อกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบเครมลินกับทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์
ขณะที่จีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง กำลังขยายอิทธิพลบนเวทีโลกในทุกชั่วขณะ ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร นอกจากนี้สีจิ้นผิงยังพยายามเชิดชูโมเดลสังคมนิยมในแบบฉบับของจีนยุคใหม่ที่มีการบัญญัติลงในธรรมนูญของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยสีจิ้นผิงหวังว่าโมเดลใหม่ที่จะต้องปรับใช้ตามบริบทการเมืองของประเทศต่างๆ นั้นจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
ของบเพิ่มเพื่อเสริมสร้างแสนยานุภาพของกองทัพ
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสพิจารณาจัดสรรงบประมาณกลาโหมเพิ่ม 10% หรือ 5.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับปีงบประมาณนี้ และให้ตัดงบในส่วนของเงินช่วยเหลือสำหรับต่างประเทศแทน
ขณะที่แมตทิสได้แสดงความกังวลต่อสภาคองเกรสว่า กองทัพสหรัฐฯ กำลังสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มในด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้กองทัพสหรัฐฯ คงความได้เปรียบบนสมรภูมิต่างๆ ในอนาคต
“แม้สหรัฐฯ จะยังคงเข้มแข็ง แต่ความได้เปรียบกำลังถดถอยลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งศักยภาพในการสู้รบทางอากาศ ทางทะเล และทางบก รวมถึงในห้วงอวกาศและโลกไซเบอร์
“ไม่มียุทธศาสตร์ใดจะอยู่รอดได้ หากไม่มีการจัดสรรงบประมาณที่คาดการณ์ได้” รัฐมนตรีเพนตากอนกล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิง: