บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ มองว่าการปักหมุดผลิตสินค้าในจีนถือเป็นการเดิมพัน ที่สร้างความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานของบริษัทตัวเองมากขึ้นๆ แต่กำลังให้ความสนใจกับอินเดียมากขึ้นเรื่อยๆ
OnePoll บริษัทวิจัยการตลาดในสหราชอาณาจักร เผยผลสำรวจที่พบว่า 61% ของพนักงานระดับผู้บริหาร 500 คนในสหรัฐฯ ระบุว่า จะเลือก ‘อินเดีย’ แทนที่จะเลือกจีน หากทั้ง 2 ประเทศนี้สามารถผลิตวัสดุชนิดเดียวกันได้ ขณะที่ 56% มองว่า อินเดียจะตอบสนองความต้องการด้านห่วงโซ่อุปทานได้แทนที่จีน ภายใน 5 ปี
การสำรวจยังพบว่า 59% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าเป็นเรื่อง ‘ค่อนข้างเสี่ยง’ หรือ ‘เสี่ยงมาก’ ที่จะจัดหาวัสดุจากประเทศจีน เทียบกับเพียง 39% ในอินเดีย
Samir Kapadia ซีอีโอของ India Index และผู้บริหารระดับสูงของ Vogel Group กล่าวในการสัมภาษณ์พิเศษกับ CNBC ว่าบริษัทต่างๆ มองว่า อินเดียเป็นกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว แทนที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย ท่ามกลางนโยบายส่งเสริมให้บริษัทในสหรัฐฯ กระจายความเสี่ยงจากจีน ก็มีส่วนทำให้อินเดียเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน
โดยในการเยือนทำเนียบขาวของนายกฯ โมดีเมื่อเดือนมิถุนายน ได้มีการลงนามในข้อตกลงมากมายเกี่ยวกับความร่วมมือขนาดใหญ่หลายด้าน เช่น กลาโหม เทคโนโลยี และการกระจายความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน
อย่างไรก็ตาม บริษัทในสหรัฐฯ ก็ยังคงระมัดระวังและห่วงความสามารถด้านห่วงโซ่อุปทานของอินเดียอยู่ โดยการสำรวจพบว่า 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามพบว่า ‘การประกันคุณภาพ’ เป็น ‘ความเสี่ยงระดับปานกลาง’ ที่พวกเขาอาจเผชิญ หากตั้งโรงงานในอินเดีย
ในเดือนกันยายน Pegatron ซัพพลายเออร์ของ Apple ต้องหยุดการดำเนินการชั่วคราวที่โรงงานใน Chengalpattu ใกล้เมืองเจนไน หลังจากเกิดเพลิงไหม้
ขณะที่ความเสี่ยงด้านการจัดส่ง (48%) และการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (48%) ก็ยังเป็นความกังวลสำหรับบริษัทในสหรัฐฯ ต่ออินเดีย
‘เวียดนาม’ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
เช่นเดียวกับอินเดีย เวียดนามก็ยังเป็นอีกตัวเลือกในใจของนักลงทุน เห็นได้จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Vietnam) เพิ่มขึ้นมากกว่า 14% ในปีที่แล้ว 2023 เมื่อเทียบกับปี 2022
อย่างไรก็ตาม Kapadia ชี้ให้เห็นว่า เวียดนามยังเป็นรองอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
อ้างอิง:
