สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) เห็นพ้องที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าที่สร้างบรรยากาศไม่เป็นมิตร โดยจะลดอัตราภาษีศุลกากรลงเหลือศูนย์ ขจัดมาตรการกีดกันทางการค้าทุกรูปแบบ และลดการอุดหนุนอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ยานยนต์ในประเทศ
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้หารือร่วมกับ ฌอง-โคลด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) โดยสองฝ่ายได้ตกลงที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายการจัดตั้งเขตการค้าเสรี โดยที่ไม่มีการเรียกเก็บภาษีระหว่างกัน รวมถึงการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอื่นๆ ด้วย
และในระหว่างที่สหรัฐฯ และ EU ยังอยู่ในขั้นตอนเจรจากันอยู่นี้ สองฝ่ายให้คำมั่นว่า จะไม่ตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าของอีกฝ่าย
นอกจากนี้สหรัฐฯ และ EU ยังตกลงที่จะขยายกรอบการค้าในภาคบริการและภาคการเกษตร ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการส่งออกถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ไปยัง EU อีกทั้ง EU ยังรับปากที่จะซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นด้วย
ทรัมป์กล่าวที่สวน Rose Garden ในทำเนียบขาวว่า “ความสัมพันธ์ช่วงใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และ EU ได้เริ่มขึ้นแล้ว นี่เป็นวันสำคัญสำหรับการค้าเสรีและเป็นธรรม
“เราได้เริ่มต้นเจรจากันแล้ว แต่เราต่างก็ตระหนักว่า ยังมีหนทางอีกยาวไกล (ที่จะไปให้ถึงจุดหมาย)” ทรัมป์กล่าวเสริม
ขณะที่ยุงเกอร์ได้กล่าวขอบคุณทรัมป์ พร้อมยกย่องการประชุมครั้งนี้ว่าเป็นไปอย่างสร้างสรรค์
ข้อตกลงระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และ EU มีขึ้นหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายต่างงัดมาตรการภาษีศุลกากรมาใช้กับสินค้านำเข้าในหมวดเหล็ก อะลูมิเนียม และอื่นๆ จนนำไปสู่การทำสงครามการค้าระหว่างกัน แต่ความเคลื่อนไหวนี้ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดลง แม้ว่าสหรัฐฯ และ EU ยังมีความไม่ลงรอยในหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ หลังจากทรัมป์หันไปปรับปรุงความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และกล่าวโจมตีองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
อ้างอิง: