Morgan Stanley หนึ่งในสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ออกรายงานล่าสุด สวนทางมุมมองของตลาดบางส่วน โดยชี้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงอย่างหนักถึงประมาณ 9% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิดภายในกลางปี 2026 โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทีมนักกลยุทธ์ของ Morgan Stanley นำโดย แมทธิว ฮอร์นบาก คาดการณ์ในบทวิเคราะห์ลงวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index) จะปรับตัวลดลงแตะระดับ 91 จุดภายในช่วงเวลาเดียวกันของปีหน้า ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิดกลางปี 2020
“เราคิดว่าตลาดอัตราดอกเบี้ยและตลาดสกุลเงินได้เริ่มเข้าสู่แนวโน้มขาลงครั้งใหญ่ที่จะดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอีกมาก และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curves) จะมีความชันเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากเคลื่อนไหวในกรอบกว้างๆ แบบ Swing Trading มาเป็นเวลาสองปี” นักกลยุทธ์ของ Morgan Stanley ระบุในรายงาน
มุมมองดังกล่าวของ Morgan Stanley สอดคล้องกับความเห็นของสถาบันการเงินอื่นๆ ที่เริ่มตั้งคำถามถึงแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น ท่ามกลางแนวนโยบายการค้าที่คาดเดาได้ยากของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทีมนักกลยุทธ์ของ JPMorgan Chase & Co. นำโดย มีรา จันทัน แนะนำให้นักลงทุนยังคงมีมุมมองที่เป็นลบต่อค่าเงินดอลลาร์ และหันไปเดิมพันกับสกุลเงินเยนญี่ปุ่น ยูโร และดอลลาร์ออสเตรเลีย แทน
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าแล้วเกือบ 10% แต่ยังมีโอกาสลงต่อ
นับตั้งแต่ทำจุดสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดัชนีดอลลาร์สหรัฐได้ปรับตัวลดลงแล้วเกือบ 10% เนื่องจากนโยบายการค้าของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในสินทรัพย์สหรัฐฯ และกระตุ้นให้เกิดการทบทวนถึงการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินหลักของโลก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Commodity Futures Trading Commission (CFTC) ชี้ว่า สถานะการเก็งกำไรค่าเงินดอลลาร์ในทิศทางขาลงยังห่างไกลจากระดับสูงสุดในอดีต ซึ่งสะท้อนว่ายังมีโอกาสที่ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงได้อีก
นักกลยุทธ์ของ Morgan Stanley คาดการณ์ว่าสกุลเงินที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ คือ ยูโร (EUR), เยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย (Safe Havens) ของโลก
ยูโร (EUR) คาดว่าจะแข็งค่าขึ้นสู่ระดับประมาณ 1.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร ในปีหน้า จากปัจจุบันที่ประมาณ 1.13 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร
ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) อาจแข็งค่าขึ้นจากระดับ 1.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์ เป็น 1.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก ‘ผลตอบแทนจากการถือครองที่สูง (High Carry)’ และความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าของสหราชอาณาจักรที่อยู่ในระดับต่ำ
เยนญี่ปุ่น (JPY) ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 143 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ อาจแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 130 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ
Morgan Stanley ยังคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี จะแตะระดับ 4% ภายในสิ้นปีนี้ และจะปรับตัวลดลงอย่างมากในปีหน้า เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงรวมถึง 1.75%
ในช่วงเปิดตลาดเอเชียเช้าวันนี้ (2 มิถุนายน) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักหลายสกุล โดยดัชนีค่าเงินดอลลาร์ของ Bloomberg อ่อนค่าลงประมาณ 0.2% สะท้อนทิศทางที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ดังกล่าว
อ้างอิง: