ศาลการค้าระหว่างประเทศในนครนิวยอร์ก มีคำพิพากษาวานนี้ (28 พฤษภาคม) ให้ระงับการบังคับใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากรต่อทั่วโลก รวมถึงภาษีศุลกากรตอบโต้ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน โดยระบุเหตุผลว่า เป็นการ ‘ใช้อำนาจเกินขอบเขต’ จากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
คณะผู้พิพากษา 3 คน ระบุในคำพิพากษาว่า ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่อทั่วโลก โดยอ้างกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ ซึ่งศาลมองว่า กฎหมายฉุกเฉินดังกล่าว ไม่ได้ให้สิทธิฝ่ายเดียวในการกำหนดภาษีศุลกากรกับแทบทุกประเทศทั่วโลก
ขณะที่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มอบอำนาจแก่รัฐสภาในการควบคุมการค้ากับประเทศอื่นๆ และอำนาจนี้ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยอำนาจของประธานาธิบดีในการปกป้องเศรษฐกิจ
“ศาลไม่ถือว่าการใช้ภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี เป็นข้ออ้างที่ฉลาดหรือมีประสิทธิภาพ การใช้ในลักษณะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ไม่ใช่เพราะไม่ฉลาดหรือไร้ประสิทธิภาพ แต่เพราะกฎหมายของรัฐบาลกลางไม่อนุญาต”
คำพิพากษาดังกล่าวครอบคลุมถึงการระงับภาษีพื้นฐาน 10% ที่ทรัมป์เรียกเก็บจากทั่วโลก และระงับการขึ้นภาษี 30% ต่อสินค้าจีน และ 25% ต่อสินค้าบางประเภทจากเม็กซิโก และแคนาดา ที่ทรัมป์ประกาศบังคับใช้ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อกดดันให้ทั้ง 3 ประเทศเพิ่มความพยายามในการปราบปรามยาเสพติดเฟนทานิลที่ระบาดในสหรัฐฯ
ขณะที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการขึ้นภาษี 25% สำหรับรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กหรืออะลูมิเนียม ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรา 232 ของ พ.ร.บ.ขยายการค้า ซึ่งเป็นกฎหมายที่แตกต่างไปจากกฎหมายฉุกเฉินที่ทรัมป์อ้างถึงในการดำเนินนโยบายขึ้นภาษีต่อทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ภายในไม่กี่นาทีหลังจากคำตัดสิน รัฐบาลทรัมป์ได้มีการยื่นอุทธรณ์ โดย คูช เดไซ (Kush Desai) รองโฆษกทำเนียบขาวเผยแพร่แถลงการณ์ ระบุว่า
“ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พิพากษาที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งที่จะตัดสินใจว่าจะแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติอย่างไร
“ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นว่า จะให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก และรัฐบาลก็มุ่งมั่นที่จะใช้ทุกอำนาจของฝ่ายบริหารเพื่อแก้ไขวิกฤตินี้และฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ของอเมริกา” เขากล่าว
สำหรับคดีนี้ ถูกยื่นฟ้องโดยกลุ่มสนับสนุนกฎหมายเสรีนิยม Liberty Justice Center และบริษัทผู้แทนจำหน่ายไวน์และธุรกิจขนาดเล็กอีก 4 แห่ง ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยอ้างว่า ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์
ภายหลังศาลมีคำตัดสิน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นฟิวเจอร์สสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส พุ่งขึ้นเกือบ 500 จุด หรือ 1.1% S&P 500 ฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 1.4% ในการซื้อขายหลังปิดตลาด
แฟ้มภาพ: REUTERS/Carlos Barria/File Photo
อ้างอิง: