สถานทูตสหรัฐฯ ประจำเมียนมา ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์ตำรวจยิงผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหารที่เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายในเมืองมัณฑะเลย์ ขณะที่การชุมนุมประท้วงดำเนินต่อเนื่องหลายสัปดาห์ในหลายเมืองของเมียนมา นับตั้งแต่กองทัพยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
“ไม่ควรมีใครได้รับอันตรายจากการใช้สิทธิ์ในการแสดงความเห็นต่าง” สถานทูตระบุในแถลงการณ์ผ่านทาง Twitter “เรารู้สึกเป็นกังวลกับเหตุการณ์ยิงผู้ประท้วงเสียชีวิตในเมืองมัณฑะเลย์ หลังจาก เมียะ ตะแวะ ตะแวะ ข่าย เพิ่งเสียชีวิตในกรุงเนปิดอว์ก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน กองทัพต้องยุติความรุนแรงต่อประชาชนในเมียนมา”
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า หนึ่งในผู้เสียชีวิตถูกยิงที่ศีรษะและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ขณะที่ผู้เสียชีวิตอีกรายหนึ่งซึ่งทราบจากญาติในเวลาต่อมาว่าเป็นช่างไม้วัย 36 ปีนั้น ถูกยิงที่หน้าอกและเสียชีวิตขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจากการรายงานของ Reuters
เหตุการณ์ยิงสลายผู้ชุมนุมเกิดขึ้นใกล้กับอู่ต่อเรือยาดานาร์บอนในเมืองมัณฑะเลย์ โดยทหารและตำรวจราว 500 นายถูกส่งมาประจำการที่อู่ต่อเรือแห่งนี้หลังจากมีคนงานเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหาร
โดยเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูง แก๊สน้ำตา หนังสติ๊ก และกระสุนยางเพื่อสลายการชุมนุม และปะทะกับกลุ่มแรงงานที่อู่ต่อเรือ
นักข่าวจาก Associated Press รายงานจากสถานที่เกิดเหตุว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนยางอย่างน้อย 5 ราย และต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล
โดมินิก ราบบ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ ประณามเหตุการณ์ยิงผู้ที่ชุมนุมประท้วงอย่างสันติในเมียนมา “เราจะพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมร่วมกับพันธมิตรนานาชาติ ต่อผู้ที่เหยียบย่ำประชาธิปไตย” รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษทวีตข้อความ
เหตุการณ์สลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกหลายรายในเมืองมัณฑะเลย์ เกิดขึ้น 1 วันหลังจากการเสียชีวิตของ เมียะ ตะแวะ ตะแวะ ข่าย หญิงสาววัย 20 ปี ซึ่งถูกยิงที่ศีรษะในระหว่างการสลายการชุมนุมในกรุงเนปิดอว์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ และเพิ่งมีรายงานยืนยันการเสียชีวิตวานนี้ หลังจากที่เธอได้รับการช่วยชีวิตในโรงพยาบาลเป็นเวลากว่าสัปดาห์ โดยตะแวะ ตะแวะ ข่ายเป็นผู้ประท้วงรายแรกที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกร้องให้กองทัพคืนอำนาจให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และปล่อยตัวสมาชิกสภานิติบัญญัติหลายคนที่ถูกจับตัวไป ซึ่งรวมถึง ออง ซาน ซูจี และประธานาธิบดี วิน มินต์
เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันศุกร์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ขอแสดงความเสียใจ และย้ำข้อเรียกร้องให้กองทัพเมียนมาละเว้นจากการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่ประท้วงอย่างสันติ
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศคว่ำบาตรผู้นำกองทัพเมียนมาที่อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารและจับตัวซูจี พร้อมผู้นำพลเรือนคนอื่นๆ โดยไบเดนประกาศว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังดำเนินการเพื่ออายัดทรัพย์สินราว 1 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ของผู้นำกองทัพของเมียนมา
ไบเดนกล่าวว่า กองทัพเมียนมา “ต้องคืนอำนาจที่ยึดมา” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และปล่อยตัวนักโทษ พร้อมเรียกร้องให้กองทัพละเว้นจากการใช้ความรุนแรงต่อผู้ประท้วงที่ใช้สิทธิประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านการทำรัฐประหาร
ด้านขบวนการอารยขัดขืน (Civil Disobedience Movement) แห่งชาติของเมียนมา ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะยุติหรือชะลอการประท้วงแต่อย่างใด แม้เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมของรัฐบาลทหารก็ตาม
ภาพ: Kaung Zaw Hein / SOPA Images / LightRocket via Getty Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
