Jeffrey Sachs ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ออกมาเตือนประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกาว่า ความตึงเครียดในด้านความสัมพันธ์กับจีนจะไม่ส่งผลดีกับสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ
โดย Sachs ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานเครือข่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติอยู่ด้วย ระบุว่า รัฐบาลของไบเดนไม่ควรใช้มาตรการกีดกันทางภาษีกับสินค้าจีน ตามรอยรัฐบาลในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์
“นโยบายกีดกันจีนของไบเดนแทบจะเดินตามรอยทรัมป์ทุกอย่าง บางทีอาจจะรุนแรงมากกว่าในยุคของทรัมป์ด้วย ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับโลก และมันยังไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ” Sachs กล่าว
ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ไบเดนเพิ่งจะลงนามในกฎหมายที่กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ร่ำรวยจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม เพื่อช่วยลดการขาดดุลของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ไบเดนต้องการใช้ต่อสู้กับเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดี Sachs ยังคงตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของกฎหมายดังกล่าว โดยเขาไม่เชื่อว่าการเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากกลุ่มบริษัทร่ำรวยจะช่วยลดเงินเฟ้อในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ได้ โดยเขาคาดว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกหลายปี จากความเสี่ยงทางด้านการเมืองโลกที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เรากำลังเติมเชื้อไฟให้กับเงินเฟ้อผ่านสงคราม การคว่ำบาตร และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในฝั่งอุปทาน การค้าควรถูกใช้เป็นกลไกที่เอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธโจมตีกัน” Sachs ระบุ
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์จากหลายสำนักประเมินว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ อาจปรับลดลงได้มากถึง 1% หากกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่มีมาตั้งแต่ยุคของทรัมป์ถูกยกเลิก
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP