สหรัฐฯ และจีนตกลงพักรบในสงครามการค้าชั่วคราว หลังจากที่สองฝ่ายต่างตั้งกำแพงภาษีใส่กันเพื่อตอบโต้นโยบายกีดกันการค้าจนเกิดบรรยากาศตึงเครียดขึ้น และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยรัฐบาลจีนและสหรัฐฯ ต่างเห็นพ้องที่จะจัดทำข้อตกลงการค้าระดับทวิภาคีที่มีขอบข่ายกว้างขวางขึ้น เพื่อลดการกระทบกระทั่งทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ และแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาสูงสุดด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยเมื่อวานนี้ (20 พ.ค.) ว่า คณะเจรจาของสหรัฐฯ และจีนได้บรรลุข้อตกลงที่จะร่างกรอบความร่วมมือใหม่เพื่อแก้ปัญหาการค้าที่ไม่สมดุลระหว่างสองประเทศในอนาคต
“เรายับยั้งการทำสงครามการค้าไว้ก่อน ณ ตอนนี้เราตกลงกันที่จะระงับการจัดเก็บอากรขาเข้าในอัตราใหม่ในระหว่างที่เราพยายามจัดทำกรอบความร่วมมือใหม่” ขุนคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Fox News Sunday
ก่อนหน้านี้จีนและสหรัฐฯ เปิดเผยว่ากำลังหารือเกี่ยวกับทางออกต่างๆ ซึ่งรวมถึงการที่จีนจะนำเข้าพลังงานและสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อลดความได้เปรียบดุลการค้าและบริการของจีนที่มีต่อสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 335,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
สื่อต่างประเทศรายงานด้วยว่า ในการหารือรอบแรกที่กรุงปักกิ่งเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้จีนลดยอดเกินดุลการค้าลงถึง 200,000 ล้านเหรียญ แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจีนยอมตกลงหรือไม่
ทั้งนี้ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา สงครามการค้าระหว่าง 2 ฝ่ายเป็นไปอย่างดุเดือด หลังจากรัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 50,000 ล้านเหรียญ พร้อมขู่ว่าจะขยายเพิ่มเป็น 150,000 ล้านเหรียญ ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกันกับสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ
ด้านโรเบิร์ต ไลต์ทิเซอร์ ผู้แทนการค้าระดับสูงของสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่าการกดดันให้จีนเปิดตลาดเพื่อนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือการที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหาพิพาทต่างๆ กับจีนให้ได้ก่อน ทั้งในประเด็นการบังคับถ่ายทอดเทคโนโลยี และการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
ขณะที่ ชัค ชูเมอร์ แกนนำเสียงข้างน้อยของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐฯ เห็นว่าทรัมป์อาจผิดพลาดที่ให้จีนรับปากเรื่องซื้อสินค้า ในขณะที่ปัญหาใหญ่กว่ายังไม่ได้รับการสะสาง
อ้างอิง:
