วันนี้ (25 ตุลาคม) นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน เกี่ยวกับผลการประชุมที่มีประเด็นสำคัญที่ไทยกำลังผลักดัน
การประชุมแรกคือการหารืออย่างไม่เป็นทางการแบบขยาย (EIC) เรื่องเมียนมา เมื่อวานนี้ (24 ตุลาคม) โดยสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมประชุม ซึ่งมีการหารืออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการต่อสถานการณ์ในเมียนมาตามฉันทมติ 5 ข้อของอาเซียน
โดยที่ประชุมยังสนับสนุนการเจรจาที่เปิดกว้างและครอบคลุมสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกอาเซียนต่อการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในปลายปีนี้ รวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และปูพื้นฐานไปสู่การมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม
นอกจากนี้ที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการดังกล่าวยังมีการหารือเกี่ยวกับกลไกการทำงานของผู้แทนพิเศษเรื่องเมียนมา ซึ่งไทยเสนอแนวคิดการขยายวาระและบทบาทของผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของภารกิจ อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเผยว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปและต้องประชุมหารือกันต่อไป
ส่วนการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่จัดขึ้นวันนี้ (25 ตุลาคม) ประเด็นสำคัญที่มีการหารือคือการเสริมสร้างประชาคมอาเซียนภายใต้วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการดำรงไว้ซึ่งความเป็นแกนกลางของอาเซียน ในฐานะกลไกหลักที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างสันติ ครอบคลุม และยั่งยืน
อีกประเด็นที่มีการหารือคือสถานการณ์ในเมียนมา ในที่ประชุมมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินการตามฉันทมติ 5 ข้อ กระบวนการสันติภาพในเมียนมา และการเลือกตั้งในเมียนมาที่จะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม โดยอาเซียนยังคงยึดมั่นในฉันทมติ 5 ข้อในการให้เป็นกรอบหลักในการส่งเสริมสันติภาพในเมียนมา และสนับสนุนการประสานงานผ่านกลไกต่างๆ ของอาเซียน รวมทั้งสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านกลไกที่มีอยู่
ส่วนประเด็นที่อยู่ในความสนใจของทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ คือการเลื่อนกำหนดการเดินทางไปมาเลเซียของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งโฆษกฯ ยืนยันว่า พิธีลงนามในคำประกาศว่าด้วยแนวทางไปสู่สันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีผู้นำมาเลเซียและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ร่วมเป็นสักขีพยานด้วยนั้น จะยังคงเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (26 ตุลาคม) โดยทางฝ่ายไทยกำลังประสานกับมาเลเซียและสหรัฐฯ เพื่อขอเลื่อนกำหนดการให้เร็วขึ้นเป็นเวลา 12,00 น. เพื่อที่ว่าหลังลงนามเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีจะสามารถเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อร่วมพระราชพิธีเคลื่อนพระบรมศพพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทันในช่วงบ่ายพรุ่งนี้
นิกรเดชยังยืนยันด้วยว่า ความตกลงที่จะลงนามกับกัมพูชาไม่มีเนื้อหาอะไรใหม่ ยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับกัมพูชากลับมาเป็นปกติ จากนี้จะเป็นกระบวนการของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ โดยไทยมุ่งหวังให้กัมพูชาดำเนินการตามเงื่อนไข 4 ข้อที่มีการตกลงในกรอบ JBC และ GBC ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การถอนอาวุธหนักออกจากบริเวณชายแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดระเบียบชายแดน
ภาพ: กระทรวงการต่างประเทศ


