สปอตไลต์ในปี 2019 คงต้องยกให้บทสรุปของสงครามระหว่างธานอสและทีมอเวนเจอร์ส รวมทั้งทิศทางของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่รุ่นใหม่ของมาร์เวลที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปหลังจากจบช่วงเวลานี้ เพื่อบุกเบิกการนำเสนอซูเปอร์ฮีโร่รูปแบบใหม่ และเพื่อแข่งกับคู่แข่งอย่างค่ายดีซีที่กำลังปรับรูปแบบภาพยนตร์ยกใหญ่ในการทวงความยิ่งใหญ่กลับคืนมา
นอกจากนั้นยังเป็นปีของภาพยนตร์แอนิเมชันที่มีทั้ง How to Train Your Dragon ภาคสุดท้าย, Toy Story ภาค 4 และ Frozen ภาค 2 รวมทั้งภาพยนตร์ Live Action ทั้ง Pokémon Detective Pikachu และ The Lion King แค่เห็นหน้าเจ้าหนูน้อยซิมบ้าจากตัวอย่างภาพยนตร์ เราก็รู้ทันทีว่าเราต้องเสียเงินให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้แน่นอน
1. Glass (เข้าฉาย 18 มกราคม)
ภาคต่อซีรีส์ชุด ‘ฮีโร่วิปลาส’ ที่ผู้กำกับอย่าง เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เริ่มเปิดจักรวาลด้วย Unbreakable ในปี 2000 เดวิด ดันน์ (รับบทโดย บรูซ วิลลิส) ฮีโร่ผู้ไม่รู้จักความเจ็บป่วย และเอไลจาห์ ไพรซ์ (รับบทโดย ซามูเอล แอล. แจ็คสัน) ผู้ที่คลั่งไคล้ความแข็งแกร่งของซูเปอร์ฮีโร่ แต่ตัวเองกลับมีกระดูกที่เปราะบางไม่ต่างจากแก้ว ต่อด้วย Split ในปี 2016 ที่เริ่มขยายจักรวาลความวิปลาสจาก เควิน เวนเดลล์ ครัมป์ (รับบทโดย เจมส์ แม็กอะวอย) มนุษย์ผู้มี 23 บุคลิกในคนเดียว
คราวนี้เอ็ม. ไนท์ เลือกที่จะจัดงานรียูเนียนให้ทั้ง 3 คนมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน โดยเรื่องราวจะเริ่มต้นจากการที่เดวิด ดันน์ เริ่มออกตามล่าบุคลิก ‘อสูร’ ของเวนเดลล์ ครัมป์ ขณะที่ความลับของ เอไลจาห์ ไพรซ์ หรือ Mr. Glass ก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมาว่าคนที่ดูเหมือนจะอ่อนแอที่สุดอย่างเขาเป็นผู้ชักใยเหตุการณ์และกุมความลับสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับทั้งสองคนเอาไว้
2. How to Train Your Dragon: The Hidden World (เข้าฉาย 31 มกราคม)
บทสรุปสุดท้ายที่จะปิดตำนานมิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่าง ฮิคคัพ เด็กหนุ่มชาวไวกิ้ง และเจ้าเขี้ยวกุดที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เป็นเด็กไม่ประสีประสา ผ่านความทุกข์ ความสุข เผชิญการสูญเสียด้วยกันจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ในภาคนี้พวกเขาจะต้องเจอกับบททดสอบครั้งสำคัญ เมื่อฮิคคัพต้องขึ้นเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน และเขี้ยวกุดต้องขึ้นเป็นหัวหน้าฝูงมังกร รวมถึงประสบการณ์พบรักครั้งแรกกับมังกรสาวสีขาว แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมาทั้งหมด รวมทั้งการไขปริศนาที่ทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ภาคแรกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหล่ามังกรแห่งท้องนภาที่เคยมีจำนวนมากกว่านี้
3. Alita: Battle Angel (เข้าฉาย 14 กุมภาพันธ์)
โปรเจกต์ในฝันของ เจมส์ คาเมรอน ที่เขาเริ่มบินตรงไปที่ญี่ปุ่นเพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์มังงะชื่อดัง เพชฌฆาตไซบอร์ก (GUNNM) ของคิชิโระ ยูกิโตะ เพื่อดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ก่อนปี 2000 แต่เนื่องจากเทคโนโลยีในยุคนั้นไม่สามารถเนรมิตโลกไซบอร์กของอลิตาขึ้นมาได้ เจมส์ คาเมรอน จึงหันไปสั่งสมประสบการณ์และพัฒนาขีดความสามารถกับหนังอย่าง Avatar (2009)
ล่าสุดก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเนรมิตโลกใบนั้นขึ้นมาจริงๆ โดยเขาลงมือเขียนบทที่มีความยาวมากกว่า 180 หน้า (ยังมีโน้ตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อีกประมาณ 600 หน้า) ด้วยตัวเอง และส่งมอบให้ โรเบิร์ต โรดริเกซ มาเป็นผู้กำกับ
เนื้อเรื่องหลักๆ จะเล่าถึงโลกอนาคตที่ไซบอร์กจะใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้ตามปกติ ส่วน อลิตา คือส่วนผสมระหว่างคนที่สมองเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายเป็นไซบอร์ก เธอถูกช่วยชีวิตไว้โดย อิโดะ แพทย์ไซบอร์ก ในสภาพร่างกายแหลกสลายและความทรงจำหายไปทั้งหมด เธอตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่ม ‘ฮันเตอร์วอร์ริเออร์’ เพื่อต่อสู้กับเหล่าฆาตกรโดยใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้เป็นเครื่องยืนยันตัวตนและความสามารถของเธอ
4. Captain Marvel (เข้าฉาย 6 มีนาคม)
ก่อนจะไปลุ้นบทสรุปศึกตัดสินระหว่างทีมอเวนเจอร์สและธานอส บอสใหญ่หัวมันม่วง ใน Avengers: Endgame ที่จะมีซูเปอร์ฮีโร่หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง กัปตันมาร์เวล (รับบทโดย บรี ลาร์สัน) มาเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ
มาร์เวลได้เตรียมตัวให้แฟนๆ ไปทำความรู้จักกับซูเปอร์ฮีโร่หญิงคนนี้ด้วยการพาคนดูย้อนไปในปี 1995 ซึ่งนับว่าเป็นยุคที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อนในประวัติศาสตร์ของจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล โดยเล่าเรื่องของ แครอล แดนเวอร์ส หญิงสาวที่ได้รับพลังจากคนที่เป็นมนุษย์ต่างดาวจนกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ทรงพลังที่สุด
เธอคือกุญแจสำคัญในช่วงที่โลกมนุษย์ถูกเปลี่ยนเป็นสนามรบของสงครามอวกาศระหว่างเอเลี่ยนสองเผ่าพันธุ์ และคาดการณ์ว่าใน Captain Marvel จะมีการตอบคำถามสำคัญที่ว่า ถ้ากัปตันมาร์เวลเก่งขนาดนี้ แล้วที่ผ่านมาเธอไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมเพิ่งมาปรากฏตัวตอนนี้ให้แฟนๆ ได้หายสงสัยกันด้วย
5. Greyhound (เข้าฉาย 22 มีนาคม)
ผลงานเรื่องล่าสุดที่ ทอม แฮงส์ จะได้รับบทเป็น ‘กัปตัน’ อีกครั้ง หลังจากเป็นกัปตันเรือสินค้าที่ถูกปล้นใน Captain Phillips (2013) และกัปตันเที่ยวบินพิเศษใน Sully (2016) ซึ่งในภาพยนตร์ Greyhound เขาจะรับบทเป็นกัปตันเรือพิฆาตที่ออกปฏิบัติภารกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่จะไม่ใช่หนังสงครามที่เต็มไปด้วยฉากแอ็กชัน เพราะตัวหนังจะเน้นไปที่ภาวะที่ผู้นำต้องเผชิญ ทั้งแรงกดดันจากภายนอก สภาวะสงครามที่ตึงเครียด รวมทั้งความขัดแย้งในจิตใจที่เขามักจะถามตัวเองอยู่เสมอว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ณ ที่แห่งนี้
นอกจากทำหน้าที่แสดงนำ ทอม แฮงส์ ยังรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์และคนเขียนบทด้วยตัวเอง และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาและ เชต แฮงส์ ลูกชายวัย 27 ปี จะได้เข้าฉากร่วมกันเป็นครั้งแรก
6.Shazam! (เข้าฉาย 5 เมษายน)
วอร์เนอร์บราเธอร์สและดีซีคอมิกส์ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยซูเปอร์ฮีโร่สายฮาที่มีต้นกำเนิดจาก บิลลี่ แบทสัน (รับบทโดย แอชเชอร์ แองเจล) เป็นเพียงเด็กกำพร้าวัย 14 ปีที่ได้รับพลังจากพ่อมดชราจนเขาสามารถแปลงร่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่วัยผู้ใหญ่ (รับบทโดย แซ็คคารี เลวี) ได้เพียงแค่ตะโกนคำว่า Shazam! ออกมา
ความน่าสนใจของ Shazam! ไม่ได้อยู่ที่การไล่ต่อสู้กับผู้ร้ายเหมือนหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่อยู่ที่ความเป็นเด็กของ บิลลี่ แบทสัน กับการเลือกใช้พลังที่ได้รับเพื่อตอบสนองความสนุกสนานที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งต้องการ ในขณะที่เขาต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่เพื่อเรียนรู้ที่จะใช้พลังเพื่อประโยชน์ด้านอื่นในฐานะซูเปอร์ฮีโร่เต็มตัวที่ไม่ได้มีแค่ความสนุกสนานอีกต่อไป
7.Hellboy (เข้าฉาย 12 เมษายน)
การกลับมาของแอนติฮีโร่สายดาร์กจากนรกที่ปรากฏตัวด้วยร่างกายสีแดงตัวใหญ่ยักษ์และเขาที่ถูกตัดออกไป ในภาคนี้จะได้ เดวิด ฮาร์เบอร์ นายอำเภอผู้แสนใจดีที่คอยดูแลเด็กๆ ในซีรีส์ Stranger Things มาเป็นซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์อสูรครั้งนี้
นอกจากนี้ยังได้ มิลลา โจโววิช ที่พลิกบทบาทจากฮีโร่สาวที่ไล่ฆ่าฝูงซอมบี้เป็นผักปลามาเป็น บลัดควีน ตัวร้ายที่สร้างความปวดหัวให้กับเฮลบอยได้มากที่สุด นอกจากความสามารถที่น่ากลัว เธอยังมีพลังที่จะกระตุ้นด้านมืดในจิตใจของฮีโร่ผู้ถือกำเนิดขึ้นจากนรก และถูกกำหนดให้เป็นผู้ทำลายล้างโลกได้เป็นอย่างดี
ทำให้ภาคนี้จะเปลี่ยนทิศทางจากการจิกกัดและเสียดสีด้วยมุกตลกร้ายแสบๆ คันๆ มาเป็นความมืดดำที่จะพาคนดูไปสำรวจลึกภายใต้จิตใจของฮีโร่ผู้ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดคนนี้แบบเต็มๆ
8. Avengers: Endgame (เข้าฉาย 26 เมษายน)
แม้จะถูกแซวเรื่องชื่อภาคอยู่พอสมควรว่ามาร์เวลจะใช้ชื่อที่ตรงไปตรงมาแบบนี้จริงๆ หรือ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Endgame ที่จะเป็นบทสรุปการต่อสู้ระหว่างธานอสและทีมอเวนเจอร์สคือภาพยนตร์ที่มีคนรอชมมากที่สุดในปี 2019 อย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะการปล่อยตัวอย่างที่ โทนี สตาร์ก ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ รวมทั้งการขอความช่วยเหลือไปยังซูเปอร์ฮีโร่หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างกัปตันมาร์เวลที่เราจะได้รู้เบื้องหลังของเธอตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม
ซึ่งบทสรุปในครั้งนี้ไม่ใช่แค่น่าสนใจในด้านการจบสงครามกับธานอสอย่างเดียว เพราะนี่จะเป็นการกำหนดทิศทางต่อไปของภาพยนตร์มาร์เวลเฟส 4 ที่ซูเปอร์ฮีโร่รุ่นใหญ่อย่างไอรอนแมน, ธอร์, เดอะ ฮัลค์ อาจจะค่อยๆ ลดบทบาทของตัวเองลงไปเพื่อเปิดทางให้ซูเปอร์ฮีโร่รุ่นใหม่เข้ามาแทน
9. Pokémon Detective Pikachu (เข้าฉาย 10 พฤษภาคม)
ถึงจะมีแฟนๆ หลายคนออกแสดงอาการรับไม่ได้ที่เห็น ‘ปิกาจู’ ปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์ด้วยภาพลักษณ์ที่มีขนเต็มตัว แต่การที่เราจะได้เห็นสุดยอดมาสคอตระดับโลกตัวนี้ขึ้นมาเป็นพระเอกแบบเต็มตัวก็นับว่าเป็นปรากฏการณ์ในปี 2019 ที่น่าสนใจ
Pokémon Detective Pikachu คือภาคสปินออฟในซีรีส์โปเกมอนที่ดัดแปลงมาจากเกม Pokémon: Great Detective Pikachu ที่ปิกาจูต้องรับบทเป็นนักสืบ ที่สำคัญคือสามารถพูดได้และมีลักษณะแบบเพลย์บอย ชอบหว่านเสน่ห์จีบผู้หญิงไปทั่ว ยิ่งได้พระเอกจอมกวนอย่าง ไรอัน เรย์โนลด์ส มาพากย์เสียงก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความกวนประสาทให้มากขึ้นไปอีก
โดยในภาคนี้ปิกาจูต้องร่วมมือกับ ทิม (รับบทโดย จัสติส สมิธ) เพื่อตามสืบการหายตัวไปอย่างลึกลับของ แฮร์รี กู๊ดแมน นักสืบมือฉมังที่เป็นอดีตคู่หูของปิกาจูและพ่อแท้ๆ ของทิม ระหว่างทางพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับตัวละครจากโปเกมอน รวมทั้งมนุษย์มากมายที่ซ่อนความลับที่สามารถจะทำลายความสงบสุขและพร้อมทำลายจักรวาลของโปเกมอนให้หายไปทุกเวลา
10. John Wick 3: Parabellum (เข้าฉาย 17 พฤษภาคม)
ในภาคนี้นักฆ่าระดับพระกาฬที่ฆ่าคนเป็นร้อยเพื่อแก้แค้นให้หมาสุดที่รักอย่าง จอห์น วิค (รับบทโดย คีอานู รีฟส์) จะต้องถูกคนทั้งโลกตามล่าตัวพร้อมเงินรางวัลนำจับ 14 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะความระห่ำของเขาได้แหกกฎเหล็กด้วยการฆ่าคนในพื้นที่โรงแรมของคอนติเนนทัล ทำให้เขากลายเป็นศัตรูคนสำคัญของ ‘สภาสูง’ ทันที
เขามีเวลา 1 ชั่วโมงก่อนที่จะถูกยกเลิกการเป็นสมาชิกและถูกตัดการจากบริการในสังคมนักฆ่าทั้งหมด ด้วยสิทธิ์ของสมาชิกที่ยังเหลืออยู่ จอห์น วิค ต้องต่อสู้และลงมือฆ่าเพื่อเอาชีวิตรอดออกไปจากมหานครนิวยอร์กให้ได้
และเหยื่อในครั้งนี้คือสมาชิกจากสภาสูงที่สั่งตามล่าตัวเขาเอง ตามความเป็นจริง จอห์น วิค จะต้องถูกลงโทษทันที หากแต่ผู้จัดการโรงแรมวินสตันกลับต่อเวลาให้อีก 1 ชั่วโมง ก่อนเขาจะถูก ‘Excommunicado’ หรือถูกคว่ำบาตร ยกเลิกการเป็นสมาชิก ถูกแบนออกจากการบริการทั้งหมด และถูกตัดขาดจากสมาชิกคนอื่น ด้วยสิทธิ์ของสมาชิกที่ยังเหลืออยู่ จอห์น วิค ต้องต่อสู้และลงมือฆ่าเพื่อเอาชีวิตรอดออกไปจากมหานครนิวยอร์ก
11. Godzilla: King of the Monsters (เข้าฉาย 30 พฤษภาคม)
ภาคต่อของราชาสัตว์ประหลาด ‘โกจิระ’ จาก Godzilla (2014) โดยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสถาบันวิจัยสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่สมาชิกในองค์กรต้องเฝ้าดูการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างก็อดซิลล่ากับเจ้ามอธร่า โรแดน และสัตว์ประหลาดโบราณ คิง กิโดร่าห์
ระหว่างการเฝ้ามองราชาสัตว์ประหลาดต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ภาพอันทรงพลังและการต่อสู้อันดุเดือดก็ทำให้ฝ่ายมนุษย์เกิดคำถามขึ้นมา และพยายามค้นหาคำตอบว่าชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากต้องรับมือกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้อีกครั้งจริงๆ
12. X-Men: Dark Phoenix (เข้าฉาย 7 มิถุนายน)
คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในทีมเอ็กซ์เมนกลับกลายคนที่สนิทสนมกับพวกเขาดีที่สุด และเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังมากที่สุดอย่าง จีน เกรย์
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อทีมเอ็กซ์เมนออกไปปฏิบัติภารกิจในอวกาศ แต่จีนถูกพลังลึกลับพุ่งเข้าใส่ ซึ่งมันมอบพลังให้เธอมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ควบคุมพลังที่ได้รับได้ยากขึ้นทุกที จนสุดท้ายพลังนั้นค่อยๆ กลืนกินตัวตนของเธอจนทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทีมเกิดรอยร้าว และเธอต้องรีบดึงตัวเองกลับมาเพื่อปกป้องทั้งโลก และ ‘ครอบครัว’ ที่สำคัญที่สุดเอาไว้
13. Toy Story 4 (เข้าฉาย 21 มิถุนายน)
ถึงแม้ว่าบทสรุปของผองเพื่อนใน Toy Story จะปิดฉากอย่างสวยงามและน่าประทับใจไปตั้งแต่ Toy Story 3 ในปี 2010 แต่ด้วยความคิดถึงการผจญภัยที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พิกซาร์ก็จัดงานรียูเนียนให้พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
โดยเนื้อเรื่องจะไม่ต่อเนื่องกับ 3 ภาคที่ผ่านมา และเข้าสู่โหมดโรแมนติก-คอเมดี้เต็มตัว เน้นไปที่การเล่าเรื่องความสัมพันธ์ในการปลูกต้นรักระหว่างนายอำเภอวู้ดดี้และสาวน้อยตุ๊กตากระเบื้องโบพีพ รวมทั้งบัซไลเยียร์กับเจสซี่ ที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งคู่ที่ได้จูงมือพากันไป ‘สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น’ ด้วยเหมือนกัน
14. Spider-Man: Far From Home (เข้าฉาย 5 กรกฎาคม)
หนังเปิดตัวเฟส 4 ของค่ายมาร์เวล หลังจบจากศึกธานอสใน Avengers: Endgame โดยภาคนี้จะเล่าเรื่องของ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ (รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์) ที่หนีไปพักร้อนอย่างสงบหลังเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงไกลถึงแผ่นดินยุโรป แต่ก็ยังไม่วายมีคนมาดักรอเซอร์ไพรส์เพื่อจัดการเขาอยู่
และไม่ได้มีแค่ มิสเทริโอ (รับบทโดย เจค จิลเลนฮาล) ตัวร้ายหลักของภาคอย่างเดียว แต่ยังมี วัลเชอร์ (รับบทโดย ไมเคิล คีตัน) ตัวร้ายจากภาคแรกมาร่วมแจมด้วย
โดยทิศทางการนำเสนอในภาคนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นทิศทางใหม่ๆ ของมาร์เวลว่าจะหารูปแบบใหม่ๆ มานำพาทีมซูเปอร์ฮีโร่รุ่นใหม่ออกไปจากความสำเร็จที่เคยผ่านมาได้อย่างไรในวันที่ซูเปอร์ฮีโร่รุ่นใหญ่เริ่มโรยรากันหมดแล้ว
15. The Lion King (เข้าฉาย 19 กรกฎาคม)
การดัดแปลงแอนิเมชันในตำนานอย่าง The Lion King ให้กลายเป็นภาพยนตร์ฉบับ Live Action ที่แค่ปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์ออกมาแล้วได้เห็นฉากเปิดตัวในตำนาน เมื่อลิงราฟิกิอุ้มลูกสิงโตเกิดใหม่ชูขึ้นเหนือศีรษะเพื่อแสดงตัว ‘ซิมบ้า’ ให้เหล่าสัตว์ป่าที่มาชุมนุม นี่คือสิงโตเกิดใหม่ ลูกของมุฟาซาและซาราบี ว่าที่สิงโตซึ่งจะเติบโตมาเป็นจ่าฝูงของอาณาจักรตามคำที่มุฟาซาว่าไว้ “ทุกอย่างที่แสงสว่างส่องไปถึงคืออาณาจักรของเรา”
ความน่ารักของเจ้าซิมบ้าน้อย รวมทั้งการคารวะเวอร์ชันเก่าด้วยการถ่ายทำฉากสำคัญในเวอร์ชันใหม่ด้วยมุมกล้องแบบเดียวกันเป๊ะ ก็ยิ่งทำให้ The Lion King กลายเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่มีคนรอดูมากที่สุดในปี 2019
16. Hobbs And Shaw (เข้าฉาย 2 สิงหาคม)
ภาคแยกเรื่องล่าสุดจากแฟรนไชส์ Fast & Furious ที่ไหนๆ ในเรื่องก็ทะเลาะและมีปากเสียงกันตลอดเวลา ทางยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ส ก็เลยจัดแมตช์พิเศษให้ ลุค ฮอบส์ (รับบทโดย ดเวย์น จอห์นสัน) และเด็คการ์ด ชอว์ (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) มาเผชิญหน้ากันแบบไม่ต้องมีคนขโมยซีนกันเต็มๆ ไปเลย
ยังไม่มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องหลักออกมา แต่อย่างน้อยนี่จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็น แฮทตี้ ชอว์ (รับบทโดย วาเนสซา เคอร์บี) น้องสาวที่สวย เท่ และฝีมือเฉียบขาดไม่แพ้พี่ชายอย่างเด็คการ์ด ชอว์ รวมทั้งสมาชิกครอบครัว ‘ฮอบส์’ แบบเต็มทีมครบทุกคนที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนเช่นกัน
17. It: Chapter Two (เข้าฉาย 6 กันยายน)
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายในภาคแรก แอนดี้ มัสเชียต ก็รีบเดินหน้าถ่ายทำภาค 2 ของตัวตลกสุดหลอนต่อทันที โดยจะเล่าเรื่องต่อจากภาคแรกหลังเวลาผ่านไป 27 ปี ที่กลุ่ม ‘เด็กขี้แพ้’ ที่โตเป็นผู้ใหญ่เดินทางกลับมาที่เมืองเพื่อเผชิญหน้าและหยุดยั้งเจ้าตัวตลกสุดหลอน เพนนีไวส์ ให้ได้อีกครั้ง
18. Joker (เข้าฉาย 4 ตุลาคม)
หลังจากรับหน้าที่เป็น ‘ตัวร้ายที่รัก’ ให้กับจักรวาลดีซีมาหลายเรื่อง ในที่สุดเราก็จะได้ดูการตีความตัวละครโจ๊กเกอร์ในยุคใหม่ด้วยฝีมือการกำกับของผู้กำกับสายดาร์กอย่าง ทอดด์ ฟิลลิปส์ และที่สำคัญคือการได้ โจอาคิน ฟีนิกซ์ มารับบทเป็น โจ๊กเกอร์ ที่ทำให้คนดูหลอนได้ตั้งแต่มีการปล่อยคลิปแคสติ้งบทนี้เป็นเวลา 30 วินาทีของเขาออกมา
เนื้อเรื่องจะเน้นไปที่เรื่องราวช่วงแรกเริ่มก่อนที่จะเป็นจุดกำเนิด Clown Prince of Crime หรือโจ๊กเกอร์อาชญากรอันดับหนึ่งแห่งเมืองก็อตแธม ว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้าง ที่เข้ามาบีบคั้นให้นักแสดงตลกที่แสนธรรมดาต้องเปลี่ยนตัวเองให้เข้าสู่ด้านมืดได้ถึงขนาดนี้
19. Frozen 2 (เข้าฉาย 27 พฤศจิกายน)
“ปั้นมนุษย์หิมะด้วยกันไหม” และเสียงเพลงสุดคลาสสิกของเจ้าหญิงเอลซ่าและผองเพื่อนกำลังจะกลับมาทำให้หัวใจของทุกคนชุ่มฉ่ำอีกครั้งในช่วงปลายปี 2019
ตอนนี้รายละเอียดทุกอย่างยังคงเป็นความลับ แต่ที่สบายใจได้อย่างหนึ่งคือยังได้ คริส บัค และเจนนิเฟอร์ ลี มารับหน้าที่กำกับเหมือนเดิม รวมทั้ง 4 ตัวละครหลักอย่างเอลซ่า, อันนา, โอลาฟ, และคริสตอฟ นั้นได้ทีมพากย์เสียงคนเดิมทั้ง ไอดินา เมนเซล, คริสเตียน เบล, จอช แกด และโจนาธาน กรอฟฟ์ มาแบบครบทีม
20. Star Wars: Episode IX
ภาคต่อของ The Last Jedi และเป็นภาคปิดฉากไตรภาคล่าสุดของอภิมหากาพย์สงครามแห่งจักรวาล โดยนอกจากชื่อที่ใช้ในการถ่ายทำว่า trIXie ก็ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ของภาคนี้ออกมาอีกเลย
แต่แฟนๆ ส่วนใหญ่คาดเดาว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ คือการต่อสู้กันแบบซึ่งๆ หน้าระหว่าง เรย์ (รับบทโดย เดซี ริดลีย์) และไคโล เรน (รับบทโดย อดัม ไดรเวอร์) รวมทั้งนี่อาจจะเป็นการปิดฉากตำนาน ‘สกายวอล์กเกอร์’ ก่อนส่งผ่านให้กับเหล่าอัศวินรุ่นใหม่แบบเต็มตัวเสียที
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์