×

ถึงเวลา Up to Date พอร์ตลงทุน ด้วยการ Re-Invest จากกองทุน LTF สู่ SSF

21.03.2022
  • LOADING...
ถึงเวลา Up to Date พอร์ตลงทุน ด้วยการ Re-Invest จากกองทุน LTF สู่ SSF

ในปี 2565 จะมีเงินลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ลงทุนไว้ตั้งแต่ปี 2559 และครบอายุขายได้ตามเงื่อนไขถือครอง 7 ปี ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินไหลออก (ขาย) จากตลาดหุ้นค่อนข้างมาก โดยในเดือนมกราคม 2565 มีการคาดการณ์ว่าน่าจะมีแรงขายประมาณ 1 หมื่นล้านบาท 

 

สำหรับผู้ลงทุนที่ลงทุนใน LTF ที่ครบกำหนดเงื่อนไขการถือครองนั้น จะมีทางเลือกที่สามารถทำได้ ประกอบด้วยการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน การขายหน่วยลงทุน หรือถือต่อ แต่หากไม่ยังไม่แน่ใจว่าควรตัดสินใจอย่างไรดี 4 ข้อพิจารณาดังต่อไปนี้อาจช่วยให้ผู้ลงทุนค้นพบคำตอบของตัวเองได้ 

 

1. ความจำเป็นในการใช้เงิน 

หากผู้ลงทุนมีโครงการใช้จ่ายเงินก้อนที่วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หรือผลตอบแทนของกองทุนนั้นเป็นที่พอใจแล้ว การตัดสินใจขายกองทุนและนำเงินมาจับจ่ายใช้สอยก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่หากผู้ลงทุนยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน หรือผลตอบแทนจากกองทุน LTF ติดลบ ก็สามารถพิจารณาเลือกถือกองทุนต่อไป และรอจังหวะตลาดที่เหมาะสมในการสับเปลี่ยนการลงทุน

 

2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี 

หากผู้ลงทุนยังเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษี การขายกองทุน LTF เพื่อไปซื้อ SSF หรือ RMF เป็นอีกหนึ่งข้อควรพิจารณา ทั้งนี้ ในการหมุนเงินจาก LTF มาลงทุนใน SSF และ RMF นั้น หากฐานภาษีผู้ลงทุนค่อนข้างสูง ก็คุ้มค่าที่จะนำเงินลงทุนใน LTF กลับมาลงทุนในกอง SSF RMF 

 

และนอกจากการจะบริหารสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่แล้ว การหมุนเงินจาก LTF มาสู่ SSF และ RMF ยังเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนและบริหารความเสี่ยงด้วยกองทุนที่หลากหลายมากขึ้น เนื่องจาก LTF มีข้อจำกัดการลงทุนอยู่ในเฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ในขณะที่ SSF และ RMF เปิดโอกาสให้ไปลงทุนในต่างประเทศ ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้มากกว่า 

 

โดย SCB CIO ได้คัดสรรและแนะนำกองทุนสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนต่อใน SSF และ RMF ดังนี้ 

 

สำหรับผู้ลงทุนที่อายุน้อยกว่า 45 ปี แนะนำลงทุนในกองทุน SSF

  1. SCBLT1-SSF SCB ความโดดเด่นคือเป็นกองทุน SSF ที่เป็นเบสต์เซลเลอร์ของ SCB
  2. SCBWORLD-SSF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้พอร์ตการลงทุนเติบโตไปกับหุ้นขนาดใหญ่และกลางของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม รวม 23 ทั่วโลก อิงดัชนี MSCI World
  3. SCBS&P500-SSF, SCBLEQ-SSF ซึ่งเป็นกองทุนจาก SCB ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดรอบ 1 ปี (1 Year Top Return) 

 

สำหรับผู้ลงทุนที่อายุมากกว่า 45 ปี แนะนำลงทุนในกองทุน RMF

  1. SCBRM4 โดดเด่นด้วยตำแหน่งเบสต์เซลเลอร์ของ SCB
  2. SCBRMGHC เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ในการดำเนินชีวิต เกาะกระแสเมกะเทรนด์ที่ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพของตนมากขึ้น
  3. SCBRMS&P500, SCBRMPOP ซึ่งเป็นกองทุน RMF จาก SCB ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดรอบ 2 ปี (2 Year Top Return) 

 

3. ภาวะตลาดโดยรวม

สำหรับผู้ที่ลงทุน LTF จนครบเงื่อนไข 7 ปีปฏิทินแล้ว และกำลังจะตัดสินใจขาย ส่วนมากจะมีคำถามที่ทำให้ลังเลในการตัดสินใจคือ ควรขาย LTF เมื่อใด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเคลื่อนไหวของ SET Index ในช่วงปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก ประกอบกับในช่วงต้นปี 2565 มีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อดัชนี SET Index ในที่สุด เมื่อ SET Index มีแนวโน้มที่จะผันผวน ผู้ลงทุนก็จะลังเลใจมากขึ้น 

 

ทั้งนี้ ทาง SCBS ได้ประเมินระดับ SET Index ปี 2565 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,660 จุด และคาดว่าจะมีกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณ 1,550-1,750 จุด และสำนักวิจัยอื่นๆ มีการประเมินไว้ ดังนี้ 

 

 

ซึ่งผู้ลงทุนสามารถใช้เกณฑ์การประเมินระดับ SET Index เหล่านี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการหาจุดที่เหมาะสมในการขายหรือทยอยขายกองทุน LTF ได้

 

4. โอกาสด้านการลงทุนใหม่ๆ

ภาพรวมตลาดหุ้นและการลงทุนทั่วโลกเมื่อ 7 ปีที่แล้วเทียบกับปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก แรงผลักดันหลักคือพัฒนาการด้านเทคโลยีที่รวดเร็วและเข้ามามีบทบาทกับทุกภาคส่วนทางเศรษฐกิจ เร่งให้เกิดธุรกิจใหม่และธีมการลงทุนใหม่ๆ มากมาย จึงแน่ใจได้ว่าคอนเซปต์การลงทุนของ LTF เมื่อ 7 ปีที่แล้วน่าจะไม่ครอบคลุมโอกาสทางการลงทุนใหม่ๆ ดังนั้นการขาย LTF เพื่อมาลงทุนในโอกาสใหม่ๆ ที่เท่าทันทุกการเปลี่ยนแปลงในโลกของการลงทุนย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 

 

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญในการลงทุนทั้ง LTF, SSF และ RMF ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงการบริหารความเสี่ยง โดยผู้ลงทุนสามารถบริหารจัดการได้โดยการแบ่งเงินลงทุน หรือ DCA เท่าๆ กันในแต่ละเดือน และอาจจะเตรียมเงินก้อนไว้ช้อนซื้อเมื่อราคากองทุนลดลง รวมไปถึงกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกองทุน SSF และ RMF เปิดโอกาสให้เลือกได้หลากหลายมากกว่า LTF เพื่อช่วยรักษาเงินทุนไว้ใช้ชีวิตยามเกษียณอย่างสบายใจ

 

หมายเหตุ:

  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF/LTF ก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน
  • การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ลงทุนไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
  • ผู้ลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุน LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 – 31 ธันวาคม 2562 จะต้องมีระยะเวลาการถือครองอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดเท่านั้น จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุน
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักได้จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม www.scbam.com 
  • กองทุนบางกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกันทั้งด้านสินทรัพย์ / ภูมิภาค / ประเทศ / กลุ่มธุรกิจ ราคาของหลักทรัพย์จึงมีความผันผวนตามปัจจัยที่กระทบกองทุนที่ลงทุนในภูมิภาค / ประเทศ / กลุ่มธุรกิจเดียว จะมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนที่มีการกระจายการลงทุนมากกว่า
  • ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
  • SCBS&P500-SSF ข้อมูลผลตอบแทนสูงสุดในช่วง 1 ปี ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 – 31 มกราคม 2565 ของกองทุนรวม SCBAM จาก Morningstar ณ วันที่ 31 มกราคม 2565
  • SCBRMS&P500 ข้อมูลผลตอบแทนสูงสุดในช่วง 2 ปี ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 – 31 มกราคม 2565 ของกองทุนรวม SCBAM จาก Morningstar ณ วันที่ 31 มกราคม 2565
  • ข้อมูลกอง RMF ขายดีประเภทหุ้น และข้อมูลกองทุน SSF ขายดีของ SCB ในปี 2564 ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564

 

ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X