×

UOB มอง GDP ไทยปีนี้โต 3.1% ชี้นักท่องเที่ยวจีนอาจไม่ได้สูงตามคาด-ต่างชาติรอความชัดเจนรัฐบาลใหม่

18.07.2023
  • LOADING...
UOB

ธนาคารยูโอบีมอง GDP ไทยปีนี้ขยายตัว 3.1% ชี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนอาจไม่ได้สูงตามคาด หลังเศรษฐกิจแดนมังกรชะลอ เผยต่างชาติจับตาความชัดเจนการเมืองไทย แนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตแบบปลอดภัย เน้นลงทุนในสินทรัพย์ผสม (Multi Asset) และตราสารหนี้ประเภท Investment Grade (IG) ในช่วงทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

 

เอ็นริโก้ ทานูวิดฮาฮา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economic and Market Research ธนาคารยูโอบี ให้ความเห็นในงานสัมมนา ‘Mid-Year Outlook และกลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลัง 2566’ ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของจีน กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ซบเซา และความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์ ทำให้ความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ธนาคารเคยคาดไว้

 

“การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาในไทยไม่ได้สูงอย่างคาด คนจีนมีแนวโน้มที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น โดยล่าสุดธนาคารคาดการณ์ตัวเลข GDP ไทยในปีนี้ไว้ที่ 3.1% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” ทานูวิดฮาฮากล่าว

 

ทานูวิดฮาฮากล่าวอีกว่า ขณะนี้ต่างชาติกำลังรอดูความชัดเจนทางการเมืองของไทย ทั้งนี้ หากการจัดตั้งรัฐบาลยิ่งทำได้เร็วก็จะยิ่งส่งผลดีต่อ Sentiment การลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศที่จะมีแรงขับเคลื่อนเพิ่มมาจากการใช้จ่ายและการลงทุน รวมถึงมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ

 

นอกจากนี้สิ่งที่ต่างชาติจับตาดูอยู่เช่นกันคือพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่าจะมาจากขั้วใด เพราะเรื่องนี้จะมีนัยต่อนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยในฉากทัศน์ที่รัฐบาลใหม่มาจากฝ่ายอนุรักษนิยมหรือฝ่ายรัฐบาลเดิม นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยจะมีลักษณะคล้ายๆ เดิม มีการขาดดุลการคลังที่ 3-4% ต่อปี

 

ส่วนในกรณีรัฐบาลใหม่มาจากอีกขั้วหนึ่ง เชื่อว่าจะได้เห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากขึ้น เช่น การเพิ่มค่าแรงและการปรับปรุงสวัสดิการต่างๆ แต่การขาดดุลการคลังก็มีความเสี่ยงจะสูงขึ้นเช่นกัน ทำให้ไทยอาจมีข้อจำกัดในการทำนโยบายจากความเสี่ยงในระยะยาว เช่น ปัญหาสังคมสูงวัยและหนี้ครัวเรือนที่รออยู่

 

อย่างไรก็ดี หากมองในระยะยาวเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพสูงในด้านการส่งออก อาหาร ยา เศรษฐกิจดิจิทัล และอีคอมเมิร์ซ รวมถึงการปรับตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตรถยนต์ EV ของโลก

 

“อินโดนีเซียมีแร่สำคัญที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ จีนก็เป็นผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ ส่วนไทยมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตรถยนต์ที่ดีและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน หากสามารถปรับให้เข้ากับการผลิต EV ได้ก็จะเป็นโอกาสที่สำคัญทางเศรษฐกิจ” ทานูวิดฮาฮากล่าว

 

ทานูวิดฮาฮากล่าวอีกว่า แม้ปัจจุบันเงินเฟ้อของไทยได้ผ่านจุดสูงสุดและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายแล้ว แต่ยังมี 3 ความเสี่ยงที่ต้องจับตาต่อและกดดันให้การปรับลดดอกเบี้ยยังไม่สามารถทำได้ ได้แก่ ภาวะเอลนีโญ ปัญหาในทะเลดำระหว่างรัสเซียและยูเครน และการลดกำลังผลิตน้ำมันของ OPEC ที่อาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวกลับมาอยู่ในระดับสูงได้อีกครั้ง

 

“เราคาดว่า ธปท. จะขยับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ ขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวตามเงินหยวนของจีนจนกว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะชัดเจน โดยมองเงินบาทอยู่ที่ระดับ 35.5 บาทต่อดอลลาร์ ในไตรมาส 3 และ 34 บาทต่อดอลลาร์ ในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าลงจากคาดการณ์เดิมตามแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนที่อาจไม่ได้สูงตามคาด” ทานูวิดฮาฮากล่าว

 

ด้าน เอเบล ลิม Head of Wealth Management Advisory and Strategy ธนาคารยูโอบี เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นักลงทุนได้รับผลกำไรตามคาดหมาย ควบคู่ไปกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหลายอย่าง เช่น การล่มสลายของธนาคารระดับภูมิภาคถึง 3 แห่ง ทั้งในและนอกประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ก่อให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในวงการธนาคาร ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Market) เริ่มเข้าสู่สภาวะชะลอตัว และอาจทำให้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลังนี้เกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่อง

 

ลิมระบุว่า ภายใต้ความผันผวนดังกล่าวธนาคารมองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับลูกค้าที่ควรลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Investment Grade (IG) เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อได้ขึ้นไปแตะจุดสูงสุด และการดำเนินนโยบายทางการเงินทั่วโลกแบบรัดกุมกำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุด โดยการลงทุนในตราสารหนี้ที่ถือครองแบบระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และโอกาสในการซื้อตราสารหนี้ที่น่าสนใจเหล่านี้อาจหมดไปในอนาคตอันใกล้นี้ อีกทั้งการลงทุนในตราสารหนี้มักจะให้ผลตอบแทนสูง และกำไรจากส่วนต่าง (Capital Gain) ดีกว่าการลงทุนในหุ้นในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย

 

ในส่วนของ Top Ideas สำหรับลูกค้าที่ต้องการจะลงทุนในหุ้น ลิมแนะนำให้ลูกค้าลงทุนในกลุ่มการดูแลสุขภาพทั่วโลก (Global Healthcare) เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการรองรับสังคมผู้สูงอายุและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และหุ้นในเอเชียแปซิฟิกที่ไม่รวมญี่ปุ่น อาเซียน และจีน (Asia ex Japan / ASEAN / China) แม้จะยังเจอแรงปะทะในระยะสั้นจากการที่เศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ และมูลค่าการส่งออกทั่วภูมิภาคเอเชียปรับตัวลดลง แต่ในมุมมองระยะกลางเป็นไปในเชิงบวก จากการบริโภคในภูมิภาคที่ยังแข็งแรง อีกทั้งระดับมูลค่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ

 

กิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี เปิดเผยว่า ปัจจุบันธนาคารยูโอบีมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและเทคโนโลยีที่พร้อมให้บริการแนะนำการลงทุนแบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยในเร็วๆ นี้ธนาคารจะมีการเปิดตัว PAT (Portfolio Advisory Tool) ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบและบริหารพอร์ตลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X