ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดงานสัมมนา Mid-Year Investment Outlook ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อให้นักลงทุนทราบถึงกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนที่แข็งแกร่งท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก เพื่อรับมือในช่วงครึ่งหลังของปี 2567
เอ็นริโก ทานูวิดจายา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economics and Market Research กลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า ยูโอบีคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 เติบโต 2.8% และ 3.0% ในปี 2568 อย่างไรก็ตาม อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ GDP ไทย ในปี 2567 โดยน่าจะเป็นการปรับในทางลง เนื่องจากการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงกว่าคาด ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว แม้ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในระดับที่สูง แต่ทางด้านมูลค่ายังต่ำกว่าที่มองไว้ จึงต้องทบทวนตัวเลขอีกครั้ง ซึ่งในเบื้องต้นน่าจะอยู่ระหว่าง 2.4-2.5%
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นกรณีของการเลือกตั้งในสหรัฐฯ อินเดีย และแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่แม้ว่าจะชะลอตัวแต่มีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยสร้างความไม่แน่นอนเป็นกรณีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะส่งผลต่อราคาพลังงานที่จะส่งผลกระทบต่อทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ย ยูโอบีคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ครั้งละ 0.25% แต่จะเลื่อนระยะเวลาไปเป็นเดือนกันยายนและธันวาคมนี้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยนั้น ยูโอบีคาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้งเช่นกัน คือ ในการประชุมเดือนมิถุนายนและสิงหาคมปีนี้ ในอัตราครั้งละ 0.25% เช่นเดียวกัน
“Real GDP ของไทยกลับสู่ช่วง Pre-COVID แล้ว แต่ไม่ทุกเซ็กเตอร์ มีเพียงกลุ่มท่องเที่ยวเท่านั้นที่กลับสู่ช่วงก่อนโควิดแล้ว ดังนั้น จึงมองว่า ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนในเรื่องของ Digital Wallet มองว่าเศรษฐกิจไทยยังต้องมีแรงสนับสนุนขับเคลื่อนให้เติบโตต่อไปได้ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งอยู่ ดังนั้น ช่วงจังหวะของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงแตกต่างกัน”
สำหรับค่าเงินบาท มองว่าจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและยอดการส่งออกที่ฟื้นตัวได้ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าเงินบาท โดยประมาณการเงินบาทสำหรับไตรมาส 2/67 ที่ 36.0 บาท ไตรมาส 3/67 ที่ 35.6 บาท ไตรมาส 4/67 ที่ 35.2 บาท และไตรมาส 1/68 ที่ 34.8 บาท
“การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เงินบาทของไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะทำให้มีผลกระทบต่อค่าเงินบาทไม่แรง โดยเราคาดการณ์เงินบาทจะอยู่ที่ 35.25 บาทในสิ้นปีนี้”
แนะกลยุทธ์เพื่อสร้างพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง
เอเบล ลิม Head of Wealth Management Advisory and Strategy กลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า เนื่องจากตลาดมีความอ่อนไหวต่อดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางอัตราการเติบโตและการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่แตกต่างกัน การสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอผ่านการลงทุนในหุ้นปันผลจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ทั้งนี้ ยูโอบีแนะนำการลงทุนหลัก เช่น กลยุทธ์ Multi-Asset และตราสารหนี้คุณภาพดี (Investment Grade) ที่ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงช้า การกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ ภูมิภาค และอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน และเน้นย้ำถึงประโยชน์ของการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ในส่วนของ Top Ideas นั้น เอเบลได้แนะนำ Global Healthcare สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนในหุ้น เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีลักษณะ Defensive และมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ซึ่งได้รับแรงหนุนจากสังคมผู้สูงอายุและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และแม้จะมีความท้าทายในระยะสั้นในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) / อาเซียน / จีน แต่เอเบลยังคงมีมุมมองเชิงบวกในระยะกลาง เนื่องจากการบริโภคในภูมิภาคที่ฟื้นตัวและมูลค่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ