ทางการท้องถิ่นในหลายรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐฯ เช่น ฟลอริดา, เซาท์แคโรไลนา, จอร์เจีย, มิสซิสซิปปี และเท็กซัส ต่างประกาศเตือนให้เฝ้าระวัง หลังพบกลุ่มคนหนุ่มสาวในพื้นที่ติดโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น
เกร็ก แอ็บบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กรณีการติดเชื้อรายใหม่ที่พบในหลายเขตนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อในประชากรกลุ่มนี้อาจเกี่ยวข้องกับงานเฉลิมฉลอง Memorial Day หรือวันระลึกถึงทหารอเมริกันที่สละชีพเพื่อชาติ ซึ่งมีหนุ่มสาวจำนวนมากไปรวมตัวฉลองกันที่บาร์หรือสถานที่ต่างๆ
เช่นเดียวกับที่ฟลอริดา รอน ดิซานดิส ผู้ว่าการรัฐเปิดเผยว่า อายุเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พบภายในรัฐช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 37 ปี ขณะที่ในช่วงสัปดาห์ของวันที่ 7 มิถุนายน พบว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่กว่า 62% มีอายุต่ำกว่า 45 ปี ซึ่งแนวโน้มการระบาดนั้นชัดเจนว่ากำลังพุ่งเป้าไปยังประชากรในกลุ่มอายุ 20-30 ปี ขณะที่กลุ่มผู้มีอายุน้อยเหล่านี้ส่วนใหญ่ตรวจพบว่าติดเชื้อโดยที่ยังไม่แสดงอาการ
“นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากที่เราเป็นอยู่ในช่วงปลายเดือนมีนาคมและต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในตอนนั้นมันเอียงไปทางกลุ่มสูงอายุกว่านี้มาก” ดิซานดิสกล่าว
ในรัฐเซาท์แคโรไลนา เจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นเปิดเผยว่า ตรวจพบประชาชนอายุต่ำกว่า 30 ปี ติดโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น โดยกว่า 18% ของผู้ติดเชื้อสะสมภายในรัฐนั้นมาจากประชาชนในกลุ่มอายุ 21-30 ปี
สำหรับสาเหตุที่จำนวนผู้ติดเชื้อในกลุ่มคนหนุ่มสาวของรัฐเหล่านี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นพบว่า หลายรัฐเริ่มคลายล็อกดาวน์และกลับมาเปิดเมืองเป็นครั้งแรกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะที่ทางการในบางรัฐชี้ว่า ควรมีการตรวจเชื้อเพิ่มขึ้น และบางส่วนมองว่า กรณีการติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากความล้มเหลวในการรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing
ด็อกเตอร์โทมัส ด็อบบ์ส เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐมิสซิสซิปปี แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 มิถุนายน) แสดงความผิดหวังต่อความล้มเหลวในการรักษาระยะห่างทางสังคมภายในรัฐ หลังพบกลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนหนึ่งมีความเชื่อมโยงกับงานเลี้ยง Frat Party ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับกลุ่มคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ต้องการทำความรู้จักกัน แต่งานเลี้ยงลักษณะนี้ยังถูกห้ามจากทางการ
ด้านหน่วยงานสาธารณสุขในเขตแกลเวสตัน รัฐเท็กซัส ที่มีประชากรกว่า 3.4 แสนคน เปิดเผยข้อมูลที่ได้จากบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ พบว่า มีประชาชนในพื้นที่ไม่ถึง 7% ที่พยายามรักษาระยะห่างกับบุคคลอื่น ขณะที่อายุเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อในพื้นที่ก็มีสัดส่วนอายุน้อยลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า อายุเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ราว 30 ปี
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาด (CDC) ของสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลว่า โรคโควิด-19 นั้นส่งผลร้ายแรงกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีสุขภาพอ่อนแอ รวมถึงกลุ่มคนผิวสีและกลุ่มฮิสแปนิก หรือกลุ่มประชาชนที่พูดภาษาสเปน
และจากการเก็บข้อมูลนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ จนถึงวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า อายุเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ทั่วประเทศนั้นอยู่ที่ประมาณ 48 ปี
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
