ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ (13 กรกฎาคม) ปิดตลาดร่วงหล่นในแดนลบ แม้ว่าจะมีข่าวดีด้านรายได้ผลประกอบการของบรรดาบริษัทเอกชนชั้นนำ อย่าง PepsiCo, JPMorgan Chase และ Goldman Sachs ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบเป็นอัตรารายเดือน นับเป็นระดับที่เพิ่มสูงที่สุดในรอบ 13 ปี มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5%
ขณะที่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 5.4% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนดัชนี CPI ที่ไม่รวมอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 4.5%
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว เพราะปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้น แต่กำลังการผลิตยังเท่าเดิม โดย CNN รายงานว่า ราคาน้ำมันในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 45.1%
นอกจากนี้ ราคาอาหารในสหรัฐฯ ยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 2.4%
ด้านนักเศรษฐศาสตร์มองว่าราคาผู้บริโภคที่สูงขึ้น มีแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและการใช้ยานยนต์ โดยเป็นการปรับขึ้นเพียงชั่วคราวตามมุมมองที่มีมานานแล้วของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่พุ่งเกินคาดได้สร้างความหวั่นใจให้กับนักลงทุนในตลาด เพราะเกรงว่าต้นทุนที่พุ่งสูงจะส่งผลต่อผลประกอบการของหลายบริษัทในตลาด ทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ (13 กรกฎาคม) ร่วงลงปิดตลาดในแดนลบ หลังจากที่เพิ่งจะทำนิวไฮครั้งใหม่ในวันก่อนหน้า
โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลดลง 107.39 จุด หรือ 0.31% มาอยู่ที่ 34,888.79 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 15.42 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 4,369.21 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 55.59 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 14,677.65 จุด
ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อทำให้บรรยากาศตลาดเมื่อวานนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร แม้ว่าจะมีรายงานรายได้และผลกำไรของบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำในตลาดออกมาดีเกินคาดก็ไม่ช่วยดันตลาดขึ้นมาได้ โดย PepsiCo มีรายได้ 19,220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่นักวิเคราะคาดการณ์ไว้ที่ 17,960 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Goldman Sachs มีกำไร 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ JPMorgan Chase กำไรพุ่งขึ้นถึง 155%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังกังวลว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นจะส่งผลกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ด้านราคาน้ำมันเมื่อวานนี้ขยับขึ้นเกือบ 2% หลังทบวงพลังงานสากลคาดหมายว่าอุปทานอาจตึงตัวในเวลานี้ เนื่องจากบรรดาผู้ผลิตยังคงเห็นต่างเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากทางกลุ่มโอเปกพลัสยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องกำลังการผลิตร่วมกันได้ อาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามราคาน้ำมัน บั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของโลกที่กำลังเปราะบางอยู่ในเวลานี้
โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสงวดส่งมอบเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 1.15 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 75.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ด้านน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 1.33 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 76.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ความวิตกเรื่องเงินเฟ้อยังส่งผลผลักดันนักลงทุนให้หันหน้าเข้าถือครองสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ ทำให้ราคาทองคำในวันอังคารปิดตลาดในแดนบวก โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 4 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 1,809.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2021/07/13/economy/june-consumer-price-inflation/index.html
- https://www.cnbc.com/2021/07/12/stock-futures-mostly-flat-ahead-of-bank-earnings.html
- https://www.cnbc.com/2021/07/13/stocks-making-the-biggest-moves-premarket-pepsico-jpmorgan-boeing-and-others.html
- https://www.cnbc.com/2021/07/13/oil-iea-says-opec-deadlock-is-bad-news-for-producers-consumers-and-energy-transitions.html