“เอเชียเป็นจะเป็นศูนย์กลางการเติบโตของโลก” ทาดาชิ ยานาอิ ประธานและซีอีโอของ Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo กล่าว พร้อมเสริมว่า “เราจะเร่งการขยายตัวของเราในภูมิภาคนี้ เพื่อที่เราจะได้เป็นที่ยอมรับโดยการเป็นบริษัทอันดับ 1 ในเอเชีย”
ดังนั้น เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ แม่ทัพของ Fast Retailing จึงประกาศกร้าวในการขยาย Uniqlo ในเอเชียเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว จากปีละ 40-50 สาขา เป็น 100 สาขาต่อปี
ขณะเดียวกัน ยานาอิยังได้แสดงทัศนะว่า “ไม่ช้าก็เร็วการระบาดจะสิ้นสุดลง” ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเวลาแห่งความเป็นจริงจะเข้ามา ดังนั้น ‘ช่องทางออนไลน์’ จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตต่อไป และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับอีคอมเมิร์ซ Fast Retailing จึงกำลังขยายคลังสินค้าอัตโนมัติไปยังทุกพื้นที่ทั่วโลก
คำกล่าวของยานาอิเหล่านี้มีขึ้นหลังจากที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของ Fast Retailing โดยพบว่า มีผลกำไรจากการดำเนินงาน 1.679 แสนล้านเยน หรือ 4.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ความแข็งแกร่งในญี่ปุ่นและจีน ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านชุดลำลองสามารถเอาชนะผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะมียอดขายที่ลดลง โดยพบว่า ในช่วงหกเดือนจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ รายได้รวมของกลุ่มลดลง 0.5% เป็น 1.2 ล้านล้านเยน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
กระนั้น ด้วยตัวเลขที่ออกมาเกินความคาดหมาย ทำให้ Fast Retailing ตัดสินใจปรับเพิ่มเล็กน้อยสำหรับการคาดการณ์สำหรับผลประกอบการในปีนี้ โดยขณะนี้คาดว่ารายรับจะเพิ่มขึ้น 10% จากปีงบประมาณก่อนเป็น 2.21 ล้านล้านเยน และกำไรจากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% เป็น 2.55 แสนล้านเยน จากก่อนหน้านี้คาดการณ์ไว้ที่ 2.2 ล้านล้านเยน และ 2.45 พันล้านเยนตามลำดับ
แม่ทัพของ Fast Retailing ได้แสดงความเห็นอีกว่า ความขัดแย้งทางการเมืองกำลังทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีใช้ฝ้ายที่ผลิตในซินเจียงที่ถูกกล่าวหาว่ามาจากการบังคับใช้แรงงาน ซึ่ง Fast Retailing เคยออกแถลงการณ์เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วว่า “ไม่มีผลิตภัณฑ์ของ Uniqlo ที่ผลิตในภูมิภาคซินเจียง นอกจากนี้ยังไม่มีพันธมิตรด้านการผลิตของ Uniqlo ที่ส่งงานให้กับโรงงานผลิตผ้าหรือโรงปั่นด้ายในภูมิภาคนี้”
ยานาอิย้ำว่า บริษัทเครื่องแต่งกายของญี่ปุ่นมีความเป็นกลางในเรื่องการเมือง หลังจากถูกผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีดังกล่าว โดยเขากล่าวว่า “เราเป็นกลางทางการเมือง แต่ถ้าฉันพูดอีกต่อไปมันจะกลายเป็นเรื่องการเมือง ดังนั้น ฉันจะไม่แสดงความคิดเห็น”
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: