องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของรัสเซียซึ่งขณะนี้ได้ยึดพื้นที่บางส่วนของภูมิภาคเคอร์ซอนของยูเครนไว้ได้ ปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือจาก UN ในการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเขื่อนโนวาคาคอฟกาแตกเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งแตะที่ 52 รายแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา เขื่อนโนวาคาคอฟกาของยูเครนเกิดระเบิดขึ้น ขณะที่สาเหตุนั้นไม่แน่ชัดว่าเป็นการโจมตีของกองกำลังฝ่ายใด หรือเกิดจากโครงสร้างของเขื่อนเองที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้น้ำในเขื่อนไหลทะลักออกมาจนเข้าท่วมในหลายพื้นที่ทางตอนใต้ของยูเครน รวมถึงดินแดนบางส่วนที่รัสเซียยึดครองไว้ได้ ส่งผลให้บ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายหนัก ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในทุกหย่อมหญ้า
ข้อมูล ณ วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2023 ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุเขื่อนระเบิดพุ่งแตะที่ 52 ราย โดยทางการรัสเซียระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 35 รายในพื้นที่ที่รัสเซียยึดครองไว้อยู่ ส่วนกระทรวงมหาดไทยของยูเครนระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 17 ราย และสูญหาย 31 ราย ขณะที่ยอดประชาชนที่ต้องอพยพย้ายออกมาจากที่อยู่ของตนเองมีมากกว่า 11,000 ราย
ทั้งนี้ UN เรียกร้องให้รัสเซียปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดย เดนิส บราวน์ ผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมของ UN ประจำยูเครน กล่าวว่า การส่งมอบความช่วยเหลือไปยังผู้ที่เดือดร้อนเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิเสธ
ในช่วงที่ผ่านมานั้นยูเครนกล่าวหาว่ารัสเซียเป็นฝ่ายที่ระเบิดเขื่อนโนวาคาคอฟกาจากภายใน เนื่องจากเขื่อนดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ที่รัสเซียควบคุมไว้ได้นับตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของสงครามในปี 2022 ขณะที่ฝ่ายของรัสเซียอ้างว่า ทางการยูเครนต่างหากที่เป็นฝ่ายกระหน่ำยิงแนวกั้นน้ำจนเขื่อนแตกออก
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยเหลืออัยการยูเครนในการสอบสวนกรณีดังกล่าว ระบุว่า ‘มีความเป็นไปได้สูง’ ที่การพังทลายของเขื่อนจะเกิดจากการระเบิดที่รัสเซียเป็นฝ่ายกระทำ
แฟ้มภาพ: Oleksii Filippov / AFP
อ้างอิง: