คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้ร่วมประชุมกันวานนี้ (11 สิงหาคม) เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน โดย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบบริเวณรอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่ก่อเหตุโจมตี
กูเตอร์เรสได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าแห่งดังกล่าวจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงต่อภูมิภาคและประเทศอื่นๆ โดยระบุว่า “อาคารแห่งนี้ต้องไม่ถูกใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร ทั้งสองฝ่ายควรเร่งทำข้อตกลงเกี่ยวกับเขตปลอดทหาร เพื่อรับรองความปลอดภัยในพื้นที่ดังกล่าว”
Energoatom บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ของรัฐบาลยูเครน เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียถูกโจมตี 5 ครั้งวานนี้ ซึ่งรวมถึงบริเวณที่ใช้เก็บวัสดุกัมมันตรังสี ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัสเซียระบุว่า ยูเครนได้โจมตีโรงไฟฟ้า 2 ครั้งในช่วงที่ทหารรัสเซียกำลังผลัดเวร
ราฟาเอล มาริอาโน กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency: IAEA) กล่าวกับ UNSC ว่า กิจกรรมทางทหารรอบโรงไฟฟ้าซาปอริซเซียน่ากังวลอย่างยิ่ง พร้อมเรียกร้องให้ยูเครนและรัสเซียเปิดทางให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์เข้าประเมินความเสียหายทันที ตลอดจนการประเมินความปลอดภัยและความมั่นคงของอาคารดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์ย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยรัสเซียสามารถยึดครองโรงไฟฟ้าไว้ได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของยูเครนเป็นผู้ดูแลอยู่ด้วย
ในการประชุมของ UNSC วาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำ UN กล่าวว่า “การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของยูเครน เป็นสิ่งที่ผลักดันให้โลกต้องพบกับหายนะทางนิวเคลียร์” โดยเขาอ้างว่า กองกำลังยูเครนใช้อาวุธหนัก และระบบจรวดหลายลำกล้องโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่หลายครั้ง รวมถึงเหตุที่เกิดขึ้นล่าสุดวานนี้
ขณะที่ เซอร์กีย์ คิสลิตสยา เอกอัครราชทูตยูเครนประจำ UN กล่าวหารัสเซียว่า “ใช้แผนการอันซับซ้อนที่เป็นการหลอกลวง บ่อนทำลาย และปิดบังความผิด” ในการโจมตีโรงไฟฟ้าดังกล่าว รวมถึงเหตุที่เกิดขึ้นวานนี้ ซึ่งก่อให้เกิด “ภัยคุกคามความมั่นคงทางนิวเคลียร์ต่อทั้งยูเครน ยุโรป และประชาคมโลก”
แฟ้มภาพ: Lev Radin / Pacific Press / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง:
