ในขณะที่กองกำลังรัสเซียเผชิญกับการต่อต้านขัดขืนในยูเครน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน พยายามที่จะพลิกสถานการณ์ดังกล่าวด้วยปฏิบัติการทางทหารที่โหดร้ายและยาวนาน
บทวิเคราะห์ของ TIME ชี้ว่า ท่ามกลางการสู้รบนี้ มาตรการทางเศรษฐกิจและการทูตมีความสำคัญ แต่ความช่วยเหลือทางทหารคือหัวใจหลัก โดยถ้าสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกสามารถเพิ่มและคงความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนเอาไว้ได้ต่อไปในระยะยาว ในที่สุดมอสโกก็อาจแพ้สงคราม ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่หากเป็นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนคงไม่มีใครคาดคิด
กองทัพรัสเซียกำลังเผชิญกับสิ่งที่ เหมาเจ๋อตุง ผู้นำการปฏิวัติของจีน เรียกว่า ‘สงครามประชาชน’ ดังที่เหมาเขียนไว้ในหนังสือ On Protracted War ของเขาว่า “แหล่งอำนาจที่ร่ำรวยที่สุดในการทำสงครามอยู่ที่มวลมหาประชาชน” เหมาระบุว่า หากมีการวางแผนต่อต้านอย่างดี กองกำลังที่รุกราน “จะถูกล้อมด้วยคนของเราหลายร้อยล้านคนที่ลุกฮือขึ้น … และผู้รุกรานจะถูกเผาจนตาย” แม้เหตุการณ์ที่เหมาพูดถึงคือสงครามของจีนกับการรุกรานกองทัพญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1930 แต่คำกล่าวนี้ก็สามารถอธิบายถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในยูเครนได้เช่นกัน
กองกำลังรัสเซียต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากทหารยูเครน รวมทั้งชาวยูเครนที่สมัครใจจับอาวุธต่อต้านผู้รุกราน จากการประมาณการของสหรัฐฯ และ NATO คาดว่า ทหารรัสเซียตายในสนามรบราว 10,000-15,000 นาย และ 30,000-40,000 นายได้รับบาดเจ็บ ถูกจับ เสียชีวิต และสูญหาย โดยกองกำลังยูเครนที่ติดตั้งระบบต่อต้านอากาศยาน Stinger, ระบบต่อต้านรถถัง Javelin, โดรน Bayraktar TB2 และอาวุธและระบบอื่นๆ ที่มีอานุภาพร้ายแรง ซึ่งส่วนใหญ่ส่งมาจากชาติตะวันตก
ทว่าปูตินยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินปฏิบัติการ ‘กวาดล้างให้สิ้นซาก’ (Scorched Earth Campaign) ในยูเครน กองทัพรัสเซียได้ทำลายล้างเมืองต่างๆ ของยูเครนด้วยการยิงปืนใหญ่, ขีปนาวุธนำวิถีและไม่นำวิถีที่ปล่อยจากเครื่องบิน, ขีปนาวุธร่อนพิสัยไกลจากเรือรบ และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ปูตินกำลังพยายามพลิกสถานการณ์สงครามให้มาอยู่ข้างมอสโก เช่นเดียวกับที่เขาทำในซีเรียเมื่อปี 2015 และเชชเนียในปี 1999
แม้เริ่มต้นไม่สวย แต่ในท้ายที่สุดกองทัพรัสเซียได้รับชัยชนะในทั้งสองเหตุการณ์ ด้วยความพยายามในการควบคุมการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กลุ่มกบฏ ประชาชนในท้องถิ่นที่กลัวเกรง และงานด้านข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยส่งเสริมปฏิบัติการทางทหารให้ประสบความสำเร็จ แต่มอสโกขาดเงื่อนไขทั้งหมดนี้ในการทำสงครามในยูเครน
กองทัพรัสเซียพยายามขัดขวางการส่งอาวุธและวัสดุเข้าไปยังยูเครน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ รวมถึงไม่ประสบความสำเร็จในการข่มขู่ชาวยูเครน และแพ้ในสงครามข้อมูล แม้ตอนนี้ปูตินต้องสูญเสียอะไรไปมากมายในยูเครน ไม่ว่าจะเป็นทหารที่บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เศรษฐกิจปั่นป่วน และประเทศโดดเดี่ยวจากตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงกระนั้น มีแนวโน้มว่าเขาจะเดินหน้ายกระดับความรุนแรงของสงครามต่อไป
แต่มอสโกอาจแพ้สงครามได้ หากสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกสามารถเพิ่มจำนวนและประเภทของอาวุธให้แก่ยูเครนได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนมาตรการทางเศรษฐกิจและการทูตจะเป็นผลก็ต่อเมื่อยูเครนสามารถยับยั้งกองทัพรัสเซียในสนามรบได้
คลังแสงของกองทัพยูเครนลดลงเรื่อยๆ และจะเป็นเช่นนั้นต่อไปตลอดช่วงของสงคราม “เรามีอาวุธไม่พอในตอนแรก” วาดีม พรีสไตโก เอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหราชอาณาจักร กล่าวเมื่อปลายเดือนมีนาคม “อาวุธจะค่อยๆ หมดไปในสัปดาห์หน้า”
การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ และชาติตะวันตกเป็นสิ่งสำคัญสำหรับยูเครนเพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังรัสเซียเข้ายึดครองดินแดน การควบคุมดินแดนเป็นกุญแจสำคัญ กองกำลังยูเครนหยุดการรุกคืบของรัสเซียรอบๆ เคียฟ คาร์คิฟ และอีกบางเมือง แต่รัสเซียสามารถยึดพื้นที่บางส่วนในภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ของยูเครน รวมถึงบริเวณเคอร์ซอน, มารีอูปอล, ลูฮันสก์ และโดเนตสก์ ความช่วยเหลือทางทหารจากตะวันตกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ยูเครนผลักดันกองกำลังรัสเซียให้ถ่อยร่นออกไป และทำให้รัสเซียต้องสูญเสียเพิ่มขึ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
ตัวอย่างของอาวุธและระบบที่ยูเครนต้องการ ได้แก่ ระบบอาวุธต่อต้านรถถัง, โดรนติดอาวุธ, ระบบขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ และขีปนาวุธต่อต้านเรือ นอกจากนี้ ยูเครนยังสามารถใช้ระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศพิสัยไกล S-300 เข้ามาเสริม เพื่อพุ่งเป้าการโจมตีไปที่เครื่องบินรัสเซีย ซึ่งสโลวาเกีย บัลแกเรีย และกรีซ สามารถจัดหาระบบขีปนาวุธดังกล่าวให้แก่ยูเครนได้ นอกจากนี้ สหรัฐฯ และ NATO ยังอาจจัดหาเครื่องบินขับไล่ เฮลิคอปเตอร์โจมตี และอาวุธหรือระบบอื่นๆ ที่ล้ำกว่า หากรัสเซียยังคงเดินหน้าทำสงครามต่อไป
ยูเครนเป็นประเทศที่มีทำเลเหมาะสำหรับการปฏิบัติการต่อต้านกองกำลังรัสเซียในระยะยาว โดยยูเครนมีพรมแดนติดกับโปแลนด์, สโลวาเกีย, ฮังการี และโรมาเนีย รวมระยะทาง 716 ไมล์ ซึ่งเป็นจุดที่ฝ่ายตะวันตกสามารถส่งอาวุธและวัสดุอื่นๆ เข้ามายังยูเครนได้ ขณะที่รัสเซียขาดกองกำลังภาคพื้นดินเพื่อสกัดกั้นท่อน้ำเลี้ยงนี้อย่างมีประสิทธิภาพ และการโจมตีด้วยขีปนาวุธทางตะวันตกของยูเครนไม่สามารถขัดขวางเส้นทางการขนส่งอาวุธดังกล่าวได้
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง สหรัฐฯ จำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการยกระดับของรัสเซีย รวมถึงการโจมตีมากขึ้นต่อเส้นทางการส่งอาวุธและสิ่งของในยูเครนตะวันตก การพุ่งเป้าหมายไปที่พลเรือนมากขึ้น การใช้อาวุธเคมีและอาวุธทำลายล้างสูงอื่นๆ และการโจมตีประเทศต่างๆ เช่น โปแลนด์ ที่มีความสำคัญต่อการลำเลียงอาวุธ
เพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหาร สหรัฐฯ จำเป็นต้องเพิ่มการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียและเดินหน้าโดดเดี่ยวมอสโกทางการเมืองต่อไป นอกจากนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกควรเพิ่มความพยายามในการทำลายม่านเหล็กดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนในรัสเซียได้รับทราบข่าวสารเกี่ยวกับขนาดของความเสียหายทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองที่เกิดจากปูติน ขั้นตอนทั้งหมดนี้มีความสำคัญ
แต่การป้องกันไม่ให้กองทัพรัสเซียรุกคืบยึดครองเมืองต่างๆ ในยูเครนได้นั้นสำคัญที่สุด หากแพ้สงคราม มอสโกจะอ่อนแอลงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร ในแบบที่จะเปลี่ยนดุลอำนาจของโลก อันจะส่งผลดีต่อสหรัฐฯ และพันธมิตรประชาธิปไตย และนั่นจะเป็นชัยชนะที่สำคัญสำหรับเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน
ภาพ: Narciso Contreras / Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: