เงินเฟ้อ เดือนสิงหาคมของสหราชอาณาจักรออกมาต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยสำนักสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร รายงานตัวเลขดัชนีผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมออกมาที่ 9.9% ลดลงจากระดับ 10.1% ในเดือนกรกฎาคม และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 10.2%
หากเทียบเป็นรายเดือน เงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมยังคงปรับสูงขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ 0.5% ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดเล็กน้อย ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาอาหาร พลังงาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบอยู่ที่ 6.3% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.8% เป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- นักเศรษฐศาสตร์ฟันธง เงินเฟ้อ ทั่วโลกผ่านจุดพีค แต่จะไม่กลับไปต่ำเท่ากับช่วงก่อนโควิด
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565
รายงานของสำนักสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้เงินเฟ้อชะลอตัวลงมากที่สุดคือราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง ขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลให้เงินเฟ้อยังเร่งตัวขึ้นต่อไปคือราคาอาหาร
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประชาชนในสหราชอาณาจักรต้องเผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพจากราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่การปรับขึ้นค่าจ้างยังอยู่ในระดับที่ล่าช้ากว่าเงินเฟ้อ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Liz Truss นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ประกาศนโยบายจำกัดเพดานราคาพลังงานเพื่อบรรเทาวิกฤตค่าครองชีพ โดยกำหนดให้แต่ละครัวเรือนจะจ่ายค่าไฟโดยเฉลี่ยไม่เกิน 2,500 ปอนด์ต่อปี (หรือราว 105,000 บาท) เป็นระยะเวลา 2 ปี ขณะที่ภาคธุรกิจจะได้รับการอุดหนุนเป็นเวลา 6 เดือน
โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า นโยบายอุดหนุนราคาพลังงานครั้งใหญ่นี้ จะทำให้หนี้สาธารณะของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นราว 1.3 แสนล้านปอนด์
แม้ว่าเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมจะออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่การที่ตัวยังคงค้างอยู่ในระดับสูง ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.75% ในการประชุมสัปดาห์หน้า
ก่อนหน้านี้ BOE เคยประเมินไว้ว่า เงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรจะพุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 13.3% ก่อนสิ้นปี แต่ดูเหมือนว่ามาตรการอุดหนุนราคาพลังงานของรัฐบาลจะทำให้ BOE ต้องทบทวนประมาณการดังกล่าวอีกครั้ง
Richard Carter หัวหน้าฝ่ายวิจัยดอกเบี้ยของ Quilter Cheviot ระบุว่า นโยบายอุดหนุนราคาพลังงานของรัฐบาลอาจช่วยชะลอการเร่งตัวของเงินเฟ้อได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะส่งผลให้ภาระหนี้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุดจะส่งผลให้ BOE ต้องขึ้นดอกเบี้ยไปมากกว่าที่ตั้งใจไว้
อ้างอิง: