สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปประกาศข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (19 พฤษภาคม) เพื่อรีเซ็ตความสัมพันธ์ระหว่างกัน หลังจากการแยกตัวอย่างตึงเครียดของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปในปี 2020
เจ้าหน้าที่อังกฤษระบุว่า การลงนามในข้อตกลงร่วมกับเจ้าหน้าที่จาก EU ในกรุงลอนดอน ซึ่งครอบคลุมหลายด้าน อาทิ ความมั่นคง พลังงาน การค้า การเดินทาง และประมง ถือเป็น “วันประวัติศาสตร์” สำหรับทั้งสองฝ่าย และเป็น “บทใหม่” ของความสัมพันธ์ที่เคยตึงเครียดหลังยุค Brexit
นี่คือประเด็นสำคัญจากข้อตกลง และผลกระทบที่จะมีต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจในสหราชอาณาจักร:
ประการแรก ข้อตกลงนี้จะทำให้การนำเข้าและส่งออกอาหารและเครื่องดื่มของอังกฤษง่ายขึ้น โดยลดขั้นตอนด้านเอกสารที่เคยทำให้รถบรรทุกต้องต่อคิวนานที่ชายแดน การตรวจสอบตามปกติสำหรับผลิตภัณฑ์จากสัตว์และพืชบางรายการก็จะถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์อย่างไส้กรอกและเบอร์เกอร์ของอังกฤษกลับมาขายในสหภาพยุโรปได้อีกครั้ง
ในด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปได้ตกลงจัดตั้งความร่วมมือรูปแบบใหม่ เปิดทางให้อุตสาหกรรมด้านการป้องกันของสหราชอาณาจักรเข้าร่วมในกองทุน “Security Action for Europe” มูลค่า 150,000 ล้านปอนด์ (200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ EU เสนอจัดตั้งขึ้น
ประเด็นเรื่องการประมง ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ซับซ้อนในการเจรจาก่อนการประชุมสุดยอด ได้ข้อสรุปว่า EU จะยังคงมีสิทธิ์ทำการประมงในน่านน้ำของสหราชอาณาจักรไปจนถึงปี 2038 ข้อตกลงนี้เป็นสิ่งที่กรุงบรัสเซลส์ต้องการอย่างมาก เพราะข้อตกลงเดิมกำลังจะหมดอายุในปีหน้า
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ จะมีข่าวดีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องในข้อตกลงนี้ คือพวกเขาจะสามารถใช้ “eGates” เพิ่มขึ้นในสนามบินของประเทศใน EU โดยไม่ต้องต่อแถวตรวจหนังสือเดินทางเหมือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างสมบูรณ์ เช่น “โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน” โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมกันหาข้อสรุปในอนาคต เพื่ออำนวยความสะดวกให้เยาวชนสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ทั่วทวีปยุโรปอย่างคล่องตัวมากขึ้น
ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen กล่าวในการแถลงข่าวหลังการประชุมว่า ข้อตกลงที่ได้ในวันนี้ถือเป็น “ประวัติศาสตร์” พร้อมเสริมว่า “สารที่เราส่งออกไปยังโลกในวันนี้คือ พวกเราในยุโรปจะยังคงยืนหยัดร่วมกัน” ขณะที่ประธานสภายุโรป António Costa กล่าวว่า ข้อตกลงเหล่านี้ “ไม่เพียงแค่แสดงถึงความก้าวหน้า แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่ได้รับการฟื้นฟูและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” ครอบคลุมประเด็นการค้า การย้ายถิ่นฐาน และความมั่นคง
การเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาล Donald Trump ไปสู่แนวทาง Isolationism ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยุโรป เช่น สงครามในยูเครน ได้สร้างแรงกดดันให้สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปต้องเร่งตกลงทำข้อตกลงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหราชอาณาจักรก็อยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งยาก เนื่องจากความนิยมในพรรค Reform UK ของ Nigel Farage ผู้วางรากฐานแนวคิด Brexit กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลสำรวจของ YouGov ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่า ความนิยมของนายกรัฐมนตรี Keir Starmer ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีเพียง 23% ของประชาชนในสหราชอาณาจักรที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเขา ในขณะที่ความนิยมต่อนาย Farage และพรรค Reform UK กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หนึ่งในอุปสรรคที่สำคัญที่สุดก่อนการประชุมสุดยอดสหราชอาณาจักร- EU คือเรื่องสิทธิ์ในการจับปลาของเรือยุโรปในน่านน้ำของสหราชอาณาจักร โดยข้อตกลงหลัง Brexit เกี่ยวกับสิทธิ์ในการจับปลานี้มีกำหนดหมดอายุในปี 2026 ขณะที่ฝรั่งเศสและเดนมาร์กต่างผลักดันให้มีการขยายสิทธิ์ดังกล่าวออกไป
ปัญหาสำหรับรัฐบาลแรงงานคือการหาทางตกลงในประเด็นยุ่งยากอย่างนี้โดยไม่ให้ดูเหมือนว่าจะกลับไปสู่ความสัมพันธ์แบบก่อน Brexit แต่บรรดาผู้วิจารณ์ข้อตกลงนี้ รวมถึง Farage และผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยม Kemi Badenoch ต่างแสดงความผิดหวังเมื่อรายละเอียดของข้อตกลงถูกเปิดเผยในเช้าวันจันทร์
ภาพ: Henry Nicholls – WPA Pool/Getty Images
อ้างอิง: