สถานีโทรทัศน์ CNN เผยรายงานกึ่งวิเคราะห์ประเมินที่มาที่ไปของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจอังกฤษ โดยระบุว่า ปัญหาเลวร้ายที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากการดำเนินงานที่ผิดพลาดของทางรัฐบาลอังกฤษ
เริ่มต้นจากสัปดาห์ที่แล้วที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงทุบสถิติเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเพียง 0.50% ไม่สอดคล้องกับขนาดเงินเฟ้อ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘BOE’ รับเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิคแล้ว ขณะที่ ‘Goldman Sachs’ คาดอังกฤษจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในปลายปีนี้
- รัฐบาลอังกฤษประกาศ ‘นโยบายภาษีและการใช้จ่ายครั้งใหญ่’ ทำเงินปอนด์ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุด ‘รอบ 37 ปี’
- นักเศรษฐศาสตร์ฟันธง เงินเฟ้อ ทั่วโลกผ่านจุดพีค แต่จะไม่กลับไปต่ำเท่ากับช่วงก่อนโควิด
หลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง Liz Truss นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ ได้เปิดเผยแผนการลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี โดยจะทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้เศรษฐกิจอังกฤษมีการเติบโต แต่กลับทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ในด้านการเงินของประเทศและฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นอกจากนี้ตลาดการเงินอยู่ในภาวะผันผวนอย่างหนัก เนื่องจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และความปั่นป่วนที่เกิดจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยขนาด 0.75% สามรอบ กลายเป็นภัยคุกคามต่อการทำงานของรัฐบาลใหม่ของอังกฤษที่หวังฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ
บรรดานักวิเคราะห์หลายสำนัก รวมถึง Chris Turner หัวหน้าวิเคราะห์ตลาดโลกของ ING กล่าวว่า อังกฤษขณะนี้จำเป็นต้องมีนโยบายที่เข้มแข็งและน่าเชื่อถือ และหากมีการละเมิดนโยบาย ผู้ละเมิดต้องถูกลงโทษอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม พิจารณาจากความเคลื่อนไหวและสถานการณ์โดยรวม นโยบายภาครัฐที่ผลักดันออกมาอาจช่วยให้อังกฤษสามารถห้ามเลือดจากแผลได้ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด เพราะมีประเด็นปัญหามากมายที่อังกฤษเก็บสะสมเป็นเวลานานหลายปี เช่น นโยบายตรวจคนเข้าเมือง นโยบายการค้าระหว่างอังกฤษกับ EU ภายใต้ Brexit
ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งที่นักลงทุน อดีตนายธนาคารกลาง และนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำหลายคนระบุได้คือ รัฐบาลชุดใหม่ของอังกฤษภายใต้การบริหารของ Truss ขาดแนวทางการประเมินโดยอิสระจากหน่วยงานเฝ้าระวังด้านงบประมาณของประเทศ ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระดับหนี้ของประเทศ
อ้างอิง: