สถานการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งในทางตอนใต้ของตุรกีและพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย รุนแรงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ล่วงเลยเข้าสู่วันที่ 5 โดยล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตรวมที่ได้รับการยืนยันแล้ว เพิ่มขึ้นมากกว่า 23,700 ราย แบ่งเป็นในตุรกี 20,213 ราย และในซีเรียมากกว่า 3,500 ราย ซึ่งคาดว่าตัวเลขอาจเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยของทั้ง 2 ประเทศ ยังคงพยายามเร่งขุดค้นหาและช่วยเหลือประชาชนอีกจำนวนมากที่ถูกฝังอยู่ใต้ซากอาคารบ้านเรือนอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความหวังที่ริบหรี่ลงทุกขณะ
ในตุรกีวานนี้ (10 กุมภาพันธ์) มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถช่วยชีวิตทารกแรกเกิดวัย 10 วัน พร้อมมารดาออกมาจากใต้ซากอาคารได้ และนำตัวส่งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีหลายจุดที่พบผู้รอดชีวิตและช่วยเหลือออกมาจากซากปรักหักพังได้
รายงานจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า มีประชาชนกว่า 24.4 ล้านคน ทั้งในตุรกีและซีเรียที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ซึ่งนอกจากนี้พบว่ายังมีผู้ประสบภัยหลายแสนคนต้องไร้ที่อยู่อาศัยและเริ่มเผชิญความยากลำบาก ทั้งจากภาวะขาดแคลนอาหารและสภาพอากาศหนาวเย็นจัดในช่วงฤดูหนาว
ขณะที่การส่งความช่วยเหลือที่เป็นไปอย่างล่าช้าของทางการทั้ง 2 ประเทศ ก่อให้เกิดคำถามและความไม่พอใจต่อรัฐบาลและผู้นำ โดยประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี เน้นย้ำว่าทางการควรตอบสนองการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเร็วกว่านี้
ในซีเรียมีรายงานจากสื่อทางการระบุว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ได้เดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบภัยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหว ซึ่งรัฐบาลของเขายังได้อนุมัติการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมข้ามพื้นที่ขัดแย้งของสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่สามารถเพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่งความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย
โดยก่อนหน้านี้โครงการอาหารโลกเปิดเผยว่า เสบียงอาหารในพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียซึ่งอยู่ในการควบคุมของกลุ่มกบฏกำลังจะหมดลง ขณะที่สงครามกลางเมืองทำให้ความพยายามในการบรรเทาทุกข์มีความซับซ้อนและเปราะบางมากยิ่งขึ้น
ภาพ: REUTERS / Kemal Aslan
อ้างอิง: