เกิดอะไรขึ้น:
SCBS ได้ทำพรีวิวผลประกอบการไตรมาส 3/63 ของ บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) โดยเบื้องต้นคาดว่าจะรายงานผลประกอบการในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563
กระทบอย่างไร:
ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น TU ปรับตัวขึ้น 3.5% MoM สู่ระดับ 14.60 บาท จากระดับ 14.10 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวลง 4.7% MoM สู่ระดับ 1,250.15 จุด (ข้อมูลราคาปิด ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2563)
มุมมองระยะสั้น:
SCBS คาดรายได้ของ TU ในไตรมาส 3/63 จะเพิ่มขึ้น 4% YoY สู่ระดับ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายอาหารทะเลแปรรูปที่เพิ่มขึ้น 10% YoY (ซึ่งคิดเป็น 50% ของยอดขาย) จากการทยอยกลับมาเปิดดำเนินการของธุรกิจบริการทางด้านอาหาร ขณะที่ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งหดตัวเล็กลง 5% YoY (ซึ่งคิดเป็น 35% ของยอดขาย) ด้านอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 160 bps YoY สู่ระดับ 17.5% เนื่องจากสัดส่วนยอดขายอาหารทะเลแปรรูปที่ให้อัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น สำหรับธุรกิจ Red Lobster จะมีส่วนแบ่งกำไรลดลง 30% YoY เพราะลูกค้าลดลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากการกลับมาเปิดร้านอาหารและการลดต้นทุนที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าใช้จ่ายการตลาด และค่าเช่า
สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ของ TU SCBS คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% YoY และเพิ่มขึ้น 1% QoQ หากตัดรายการพิเศษออกไป กำไรปกติไตรมาส 3/63 จะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% YoY และเพิ่มขึ้น 16% QoQ
มุมมองระยะยาว:
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2564 มีแนวโน้มค่อนข้างทรงตัว YoY เนื่องจากผลประกอบการของ Red Lobster ที่ดีขึ้น YoY จะถูกหักล้างด้วยราคาวัตถุดิบปลาทูน่าท้องแถบ (Spot Price) ที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปี 2564 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่แท้จริงของบริษัทจะปรับตัวตามหลังราคา Spot Price ประมาณ 3-6 เดือน ซึ่งจะกดดันต่ออัตรากำไรของบริษัท
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล