เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ธนาคารขนาดกลาง 2 แห่งได้รวมกันเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ 1 ใน 6 แห่งของประเทศไทยที่ชื่อว่า ‘ทีเอ็มบีธนชาต’ หรือ ‘ทีทีบี’
“เราได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะเป็น The Bank of Financial Well-being หรือธนาคารที่มุ่งมั่นช่วยสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นทุกกลุ่ม” ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี กล่าวย้ำถึงความตั้งใจที่อยากให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกต้องประสบกับปัญหาความผันผวนทางเศรษฐกิจ ถึงแม้วันนี้ปัญหาโควิดจะเริ่มเบาบางลง แต่บาดแผลทางเศรษฐกิจที่ทิ้งไว้ยังคงอยู่ คนไทยเองต้องประสบปัญหาเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้นที่กระทบต่อกำลังซื้อ ทำให้ประชาชนที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องหรือมีหนี้เดิมอยู่เกิดความยากลำบากทางด้านการเงินมากขึ้น ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนแตะระดับสูงถึง 86.8% ของ GDP ในไตรมาส 3/2565
จากสถานการณ์ที่ต้องเผชิญทำให้พันธกิจของธนาคารเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการจะได้รับและคาดหวังให้ธนาคารสามารถทำให้เป็นจริงขึ้นได้ โดยตั้งแต่รวมกิจการ ทีทีบีได้ส่งมอบชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้ามากมายผ่านโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์และเป็นประโยชน์ เช่น
- การได้ช่วยให้คนไทยกว่า 2 ล้านคนได้มีความคุ้มครองชีวิตและค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุฟรี ผ่านบัญชี ttb all free ที่ได้ช่วยลูกค้าเคลมประกัน PA ไปแล้วกว่า 5,700 เคส และดูแลค่ารักษาพยาบาลและครอบครัวลูกค้ากว่า 110 ล้านบาท
- ช่วยลูกค้าที่มีหนี้ทำการรวบหนี้ (Debt Consolidation) เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง แม้เพิ่งเริ่มต้นแต่มีลูกค้าร่วมโครงการราว 2,000 ราย ช่วยทำให้คนเหล่านี้ประหยัดเงินจากดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายรวมเป็นเงินกว่า 270 ล้านบาท และเพิ่มสภาพคล่องด้วยสินทรัพย์บ้านกว่า 9.2 พันล้านบาท
- ช่วยลูกค้าเริ่มลงทุนไปสู่เป้าหมาย ผ่าน ttb smart port รวม 2 หมื่นล้านบาท โดยมากกว่า 2,000 ราย ลงทุนสม่ำเสมอแบบ DCA
- ช่วยให้ลูกค้ามีความคุ้มครองที่เหมาะสมผ่านประกันสุขภาพ 20,000 กรมธรรม์, ประกันการออม 26,500 กรมธรรม์ และประกันคุ้มครองชีวิต 295,000 กรมธรรม์
“การมารวมกันทำให้เราสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ลูกค้าได้มากขึ้น จากการที่ผสานจุดแข็งด้านสินเชื่อรถยนต์และเงินฝาก ตลอดจนใช้ดิจิทัลในการเข้าหาลูกค้ากว่า 10 ล้านราย ซึ่งจากความพร้อมของธนาคารที่สะท้อนได้จากความสำเร็จทั้งในแง่ธุรกิจและการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้าของธนาคารที่ผ่านมา ถือเป็นสิ่งชี้วัดว่าธนาคารได้ดำเนินการมาถูกทางและเราจะเดินหน้าต่อไป”
สำหรับปี 2566 แม้จะยังเป็นปีแห่งความท้าทายอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่แม่ทัพของทีทีบีก็ย้ำว่าจะมุ่งสานต่อพันธกิจ ด้วยการสร้าง The Next REAL Change เดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายในรูปแบบใหม่อีกครั้ง ภายใต้กลยุทธ์หลัก 3 เรื่อง ได้แก่
- Synergy Realization: การนำจุดแข็งและความแข็งแกร่งจากการรวมกิจการมาต่อยอดพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้า
- Digitalization: การยกระดับประสบการณ์ทางการเงินและพัฒนาประสิทธิภาพของธนาคาร
- Ecosystem Play: การสร้างชีวิตทางการเงินของลูกค้าบัญชีเงินเดือน ลูกค้าที่มีรถ มีบ้าน ให้ดีขึ้นรอบด้าน
นำจุดแข็งมาต่อยอดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า
หลังรวมกิจการทำให้ทีทีบีมีความแข็งแกร่งด้วยฐานลูกค้ากว่า 10 ล้านราย สะท้อนได้จากผลประกอบการปี 2565 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 14,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.6% จากปีก่อนหน้า และได้รับผลประโยชน์ด้านค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการรับรู้ Cost Synergy ของการรวมกิจการ ทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงจาก 48% ในปี 2564 มาอยู่ที่ 45%
ปัจจัยความสำเร็จในปีที่ผ่านมาประกอบด้วย สินเชื่อเพิ่มขึ้น 0.4% เงินฝากเพิ่มขึ้น 4.5% ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) 2.95% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อสินทรัพย์ 0.79% อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (C/I) 45% ต้นทุนความเสี่ยง 1.3% และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) 2.7%
ยังมีตัวเลขไฮไลต์ในปี 2565 อื่นๆ อีกทั้ง
- เงินฝาก (OS) มูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท เติบโต 4.5%
- ยอดเปิดบัตรใหม่โดยเครดิตการ์ดมี 1.76 แสนใบ เติบโต 112% และแฟลชการ์ดมี 1.01 แสนใบ เติบโต 492%
- สินเชื่อส่วนบุคคล (OS) มูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 71%
- สินเชื่อบ้านแลกเงิน (OS) มูลค่า 6.6 พันล้านบาท เติบโต 151%
- สินเชื่อรถแลกเงิน (cash your car / cash your book) จำนวน 6 หมื่นคัน เติบโต 47%
- ประกันชีวิต (inc MRTA, Smile Car Plus) มูลค่า 5.5 พันล้านบาท เติบโต 26%
“วันนี้ธนาคารถือว่ามีความพร้อมทั้งศักยภาพที่แข็งแกร่งและงบประมาณในการลงทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า”
สำหรับปี 2566 ปิติกล่าวว่า จากเดิมที่ธนาคารมีสินเชื่อรถ สินเชื่อบ้าน บัญชีเพื่อใช้ เพื่อออม และบัญชีเงินเดือน เป็นผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าในตลาด ปีนี้ทีทีบีจะต่อยอดจุดแข็งของกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปสู่สินเชื่อรถแลกเงิน (ttb cash your car) สินเชื่อบ้านแลกเงิน (ttb cash your home) สินเชื่อ ttb payday loan และกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถ ซึ่งโซลูชันเหล่านี้นอกจากจะมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นแล้ว ยังจะสามารถช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบปัญหาสภาพคล่องภายใต้เศรษฐกิจผันผวนของปีนี้ได้ด้วย
ยกระดับประสบการณ์ทางการเงินผ่าน ttb touch เวอร์ชันใหม่
เป้าหมายของทีทีบีในอนาคตคือการก้าวขึ้นมาเป็น Top 3 Digital Banking Platform
ที่ผ่านมาทีทีบีได้นำดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และขับเคลื่อนองค์กรให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนของธนาคาร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
วันนี้ทีทีบีมุ่งยกระดับและขยายขีดความสามารถของ ttb touch ให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละรายได้อย่างรอบด้าน ซึ่ง ttb touch เวอร์ชันใหม่ได้เปิดตัวไปเมื่อไตรมาส 2/2565 และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก จำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 46% และจำนวนรายการธุรกรรมบนแอปเติบโตขึ้น 25%
ทีทีบีวางแผนพัฒนาความสามารถในการรองรับการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันนี้แอปมีความเสถียรและสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญด้วยศักยภาพของ ttb touch เวอร์ชันใหม่ ทำให้ธนาคารสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงโปรโมชันต่างๆ ให้กับลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 หรือ Segment-of-One ยกระดับการให้บริการลูกค้าได้
“วันนี้ลูกค้าหยิบ Mobile Banking มาใช้ไม่ใช่แค่เรื่องโอนเงินอีกแล้ว แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง Mobile Banking จึงเป็นช่องทางที่จะทำให้เราสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้มากขึ้น”
บริการดังกล่าว ปิติบอกว่าได้เริ่มทดสอบกับลูกค้าประมาณ 5 แสนราย โดยมีการแจ้งเตือนข้อมูลที่น่าสนใจอ้างอิงจากข้อมูลของฐานลูกค้าแต่ละคน ซึ่งข้อมูลพบว่ามีลูกค้าคลิก 3 แสนครั้งตั้งแต่เปิดตัว และมีอัตราเฉลี่ยการกดต่อวันมากกว่าการกดสื่อโซเชียลมีเดีย 2.2-2.5 เท่า
“ธนาคารจะเดินหน้าพัฒนาองค์กรให้เป็น Digital-First Experience เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมส่วนใหญ่ได้เองผ่าน ttb touch เพื่อความสะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ครบจบในที่เดียว ในขณะที่พนักงานสาขาจะมีบทบาทสำคัญในการเป็น Trusted Advisor ให้คำปรึกษา แนะนำ และให้บริการลูกค้าบนผลิตภัณฑ์และบริการที่ซับซ้อน”
อย่างไรก็ตาม การนำดิจิทัลเข้ามาช่วยจะทำให้นำเสนอผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้เร็ว ต้นทุนต่ำกว่า และสามารถแข่งขันได้ ซึ่งเมื่อเทียบกับการให้บริการที่สาขา และ Contact Center ต้นทุนจะลดลงไปมากหลายเท่าตัว โดยทีทีบีจะนำเงินเหล่านี้ไปพัฒนาบริการเพื่อตอบสนองลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
การสร้างชีวิตทางการเงินของลูกค้าบัญชีเงินเดือน ลูกค้าที่มีรถ มีบ้าน ให้ดีขึ้นรอบด้าน
ทีทีบีเดินหน้าสร้างการเติบโตด้วย New Business Model มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้ามนุษย์เงินเดือน กลุ่มคนมีรถ และกลุ่มคนมีบ้าน ซึ่งเป็น 3 กลุ่มหลักที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญและมีฐานลูกค้าเป็นแต้มต่อ
โดยทีทีบีจะต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตของลูกค้าตลอด Journey และช่วยให้ชีวิตของลูกค้าสามารถบริหารจัดการเรื่องสำคัญได้อย่างรอบด้าน โดยเน้นการทำงานจากทีมภายในและร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำภายนอก (Partnership) โดยมี ttb touch เป็นตัวขับเคลื่อนให้ลูกค้าบริหารจัดการชีวิตได้อย่างครบวงจร
อาทิ สำหรับคนมีรถจะสามารถบริหารจัดการทุกเรื่องเกี่ยวกับรถ เช่น จ่าย-เช็กยอดสินเชื่อรถ ต่อประกันภัยรถและ พ.ร.บ. เติมเงิน-เช็กยอดบัตรทางด่วน Easy Pass ค้นหาโปรโมชันเกี่ยวกับการดูแลรถ สมัครสินเชื่อจาก ttb DRIVE แม้กระทั่งการขายรถแบบ e-Auction ทุกอย่างสามารถทำบนฟีเจอร์ ‘My Car’ บนแอป ttb touch ได้อย่างสะดวก
เพิ่มศักยภาพด้วยทีมงานด้าน Tech & Data ให้มากขึ้น
การเติบโตของทีทีบีส่วนหนึ่งมาจากการให้ความสำคัญและเร่งทำ คือการเตรียมความพร้อมบุคลากร เพื่อให้สามารถร่วมกัน Transform องค์กรได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการเพิ่มศักยภาพและจำนวนทีมงานด้าน Tech & Data ให้มากขึ้น
ที่ผ่านมาทีทีบีได้จัดตั้งทีมดิจิทัล ttb spark และ ttb spark academy เพื่อมุ่งเน้นเรื่องการสร้าง Talent รุ่นใหม่ที่มีความสามารถสอดรับกับโลกธุรกิจผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมและดิจิทัลโซลูชัน
โดยปัจจุบันมีทีมงาน ttb spark มากกว่า 400 คน ดูแลทั้งในส่วนของฝั่ง Tech และ Beyond Banking Business พร้อมผลักดันและพัฒนาแอป ttb touch ให้มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น ด้าน ttb spark academy ได้มีกิจกรรมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำและมีนักศึกษาเข้ามาฝึกงานด้วยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จัดกิจกรรม ttb hackathon: Financial Well-being for Thais ซึ่งมีผู้ร่วมสมัครมากกว่า 100 ทีม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่เพื่อให้ Talent เหล่านี้สนใจร่วมงานกับธนาคารในอนาคต
ปิติย้ำว่า ด้วยศักยภาพของทีทีบีที่มีความพร้อมในทุกด้าน ณ วันนี้ ผนวกกับกลยุทธ์ทั้ง 3 ด้าน จะสามารถทำให้ปีนี้จะยังคงเดินหน้าไปสู่การเป็นธนาคารที่ Make REAL Change เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
“เราจะทำสิ่งที่มีความหมายสำหรับลูกค้าจริงๆ สำหรับผมไม่ใช่ส่วนแบ่งทางการตลาด แต่เป็นมิติในการดูแลลูกค้า ซึ่งหากลูกค้าบอกว่าพวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นจากบริการของพวกเรา สิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาเอง” ปิติกล่าวทิ้งท้าย