ทีเอ็มบีธนชาตรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เผยหนี้เสียยังทรงตัวในระดับต่ำที่ 2.69% ตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบางภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ttb เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/66 ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน และ 34% จากไตรมาส 1 ปี 2565
โดยธนาคารสามารถเติบโตสินเชื่อใหม่ในกลุ่มเป้าหมายได้ตามแผน นำโดยสินเชื่อรถแลกเงินและสินเชื่อบ้านแลกเงิน แต่เนื่องจากมีการชำระคืนหนี้จากกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เมื่อสุทธิแล้วจึงทำให้สินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสอยู่ที่ 1.35 ล้านล้านบาท ลดลง 1.3% จากสิ้นปีที่แล้ว
ด้านเงินฝากมียอดคงค้างอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% หนุนโดยเงินฝากประจำ ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารต้นทุนเงินฝากภายใต้ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อคงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับขึ้นอัตราเงินนำส่ง FIDF สู่ระดับก่อนโควิด ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อต้นทุนเงินฝาก
ธนาคารได้ใช้กลยุทธ์การรีไซเคิลเงินทุน หรือนำสภาพคล่องที่ได้รับจากการชำระคืนหนี้ไปหมุนเวียน ใช้ปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่เหมาะสม ประกอบกับหลายไตรมาสก่อนหน้านี้ธนาคารได้ทยอยขยายฐานเงินฝากไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น จึงทำให้ยังสามารถขยายสินเชื่อใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องเร่งขยายฐานเงินฝาก สะท้อนได้จากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากที่อยู่ที่ 97% ณ สิ้นไตรมาส 1/66
จากกลยุทธ์ด้านสินเชื่อและเงินฝากดังกล่าว รวมทั้งการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินและพอร์ตการลงทุนในเชิงรุก เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจึงฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่ายอดสินเชื่อสุทธิจะลดลงก็ตาม
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน และเป็นปัจจัยหนุนให้รายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้น 6.9% จากไตรมาส 1/65 มาอยู่ที่ 16,870 ล้านบาท
ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับกิจกรรมทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและแผนการลงทุนของธนาคาร โดยธนาคารยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับด้านรายได้ได้เป็นอย่างดี สะท้อนจากอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ ซึ่งอยู่ที่ 43% เทียบกับ 44% ในไตรมาส 1/65 ส่งให้ผลกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ อยู่ที่ 9,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในไตรมาส 1/66 ธนาคารมีค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ อยู่ที่ 4,276 ล้านบาท ลดลง 11.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อหักค่าใช้จ่ายสำรองฯ และภาษี จึงทำให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4% จากปีที่แล้ว
ทั้งนี้ การตั้งสำรองฯ ที่ลดลงเป็นผลต่อเนื่องมาจากการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ตามแผน โดยอัตราส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมลดลงมาอยู่ที่ 2.69% เทียบกับ 2.73% จากสิ้นปีก่อนหน้า ด้านกันชนป้องกันความเสี่ยงยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้นจาก 132% ในไตรมาส 1/65 มาอยู่ที่ 138% ณ สิ้นปีที่แล้ว และอยู่ที่ 140% ณ สิ้นไตรมาส 1/66
ท้ายที่สุด ด้านความเพียงพอของเงินกองทุน อัตราส่วน CAR และ Tier 1 (เบื้องต้น) ณ สิ้นไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 19.9% และ 16.2% สูงเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ ธปท. กำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ
ปิติกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 ธนาคารตั้งเป้าที่จะเติบโตสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น ด้วยการต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถแลกเงิน (ttb cash your car), สินเชื่อบ้านแลกเงิน (ttb cash your home), สินเชื่อ ttb payday loan และกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถ โดยจะเน้นฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการรวมกิจการเป็นหลัก ซึ่งธนาคารรู้จักและเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี เป็นผลดีต่อการบริหารความเสี่ยงและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ตรงความต้องการ
นอกจากนั้นแล้วยังเตรียมนำเสนอโซลูชันทางการเงินสำหรับกลุ่มพนักงานเงินเดือน คนมีบ้าน คนมีรถ ด้วยแนวคิด Ecosystem Play ซึ่งจะทยอยเปิดตัวให้บริการในไตรมาสถัดๆ ไป
“นอกเหนือจากการเติบโตของธุรกิจ แน่นอนว่าธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าภายใต้ภาวะเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยธนาคารมีแนวทางในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอย่างเหมาะสม เพื่อส่งเสริมการออม และปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ สามารถปรับตัวพร้อมกับบริหารจัดการสภาพคล่องได้ในระยะยาว ตอกย้ำเป้าหมายของธนาคารในการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทย” ปิติกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ดีเดย์ มิ.ย. นี้ ผู้ใช้งาน Mobile Banking ต้องสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน กรณีโอนเงินมากกว่า 50,000 บาทต่อรายการ
- ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Banking) โอกาสหรือความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน
- Banking for Net Zero: ธนาคารกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจไร้คาร์บอน