เมื่อวันจันทร์ (18 สิงหาคม) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประชุมร่วมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน และผู้นำยุโรปหลายคน ที่ทำเนียบขาว โดยระหว่างการพูดคุย ทรัมป์ได้หยิบยกบางประเด็นจากการหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขึ้นมาพิจารณาและตั้งคำถามว่า การหยุดยิงนั้นยัง ‘จำเป็น’ หรือไม่ หากรัสเซียและยูเครนสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของทรัมป์ ไม่สามารถยับยั้งผู้นำยุโรปบางคนจากการผลักดันให้มีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว ก่อนที่จะเดินหน้าไปสู่ข้อตกลงสันติภาพ
ที่ผ่านมา รัฐบาลเคียฟและพันธมิตรยุโรป ยืนยันว่าข้อตกลงหยุดยิงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในขั้นต้นของกระบวนการสันติภาพและยุติสงคราม
แต่นักวิเคราะห์มองว่าการยอมรับข้อเรียกร้องของปูตินที่ต้องการข้ามเรื่องหยุดยิง ไปสู่การบรรลุข้อตกลงสันติภาพอย่างถาวรนั้น อาจเป็นการละเลยต่อหลักการพื้นฐานของระเบียบโลก นั่นคือ “ประเทศต่างๆ ไม่สามารถใช้กำลังทหารเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ”
การหยุดยิงยังจำเป็นหรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์กฎหมายระหว่างประเทศหลายคนมองว่า ข้อตกลงที่จะบังคับให้ยูเครนยอมสละดินแดนเพื่อหยุดยั้งรัสเซียไม่ให้สังหารประชาชน ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิงตามกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศส่วนใหญ่ลงนามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยในมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงสันติภาพและการหยุดยิงนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก เนื่องจากในระหว่างการหยุดยิง แต่ละฝ่ายที่ร่วมทำสงครามตกลงที่จะยุติการสู้รบ และคงกำลังทหารไว้ในพื้นที่ที่ควบคุม
อย่างไรก็ตาม การหยุดยิงนั้นเป็นเพียงข้อตกลงชั่วคราว ซึ่งอาจจะกินระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือยาวนานเป็นทศวรรษ และโดยปกติจะเป็นการเปิดช่องทางในการเจรจา ส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรืออพยพพลเรือน
เซเลนสกีและผู้นำชาติยุโรป มองว่าการหยุดยิงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาโดยตรงระหว่างเซเลนสกีและปูติน ซึ่งทรัมป์ยืนยันว่าจะจัดขึ้นตามด้วยการประชุมไตรภาคีที่มีเขา เซเลนสกี และปูตินเข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม ผู้นำยุโรปบางประเทศ เช่น ฟรีดริช เมิร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวในการประชุมกับทรัมป์ว่า เขา “นึกไม่ออกเลยว่าการประชุมครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยปราศจากการหยุดยิง”
ปูติน-ทรัมป์ ต้องการดีลสันติภาพ
สิ่งที่ปูตินต้องการ และตอนนี้ ทรัมป์ก็มีท่าทีสนับสนุนด้วยเช่นกัน คือการเจรจาเพื่อมุ่งหน้าสู่ข้อตกลงสันติภาพอย่างถาวร
ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงสันติภาพควรเป็นสนธิสัญญาระยะยาวอย่างเป็นทางการที่กำหนดความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่าง 2 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่งข้อตกลงสันติภาพนั้น ‘ไม่ง่าย’ และค่อนข้างมีความ ‘ซับซ้อน’
เจเรมี พิซซี (Jeremy Pizzi) นักกฎหมายระหว่างประเทศและที่ปรึกษากฎหมายของ Global Rights Compliance ซึ่งเป็นมูลนิธิสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า “กฎหมายระหว่างประเทศมีหลักการสำคัญเฉพาะตัว ที่จารึกไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเด่นชัด นั่นคือ การใช้กำลังเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ซึ่งหมายความว่าสนธิสัญญาใดๆ ที่ได้มาโดยใช้กำลังนั้นผิดกฎหมายและเป็นโมฆะ”
ทั้งนี้ ปูตินยื่นเงื่อนไขหลักในข้อตกลงสันติภาพระหว่างการหารือกับทรัมป์ ที่อะแลสกา คือการที่ยูเครนต้องยอมสละดินแดน 2 แคว้น คือโดเนตสก์และลูฮันสก์ และต้องมีการรับรองไม่ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ในอนาคต
เงื่อนไขเหล่านี้ จะทำให้ข้อตกลงสันติภาพที่รัสเซียต้องการ ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งในแง่ของวิธีการบรรลุข้อตกลงด้วยกำลังทหาร และยังผิดในแง่ของเนื้อหาข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเซเลนสกี อาจจะต้องการที่จะตอบรับเงื่อนไขเพื่อยุติสงคราม (แม้ความจริงจะไม่ได้ต้องการ) แต่เขาก็ไม่สามารถยินยอมที่จะสละดินแดนให้รัสเซียได้
โดยภายใต้รัฐธรรมนูญยูเครน การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับพรมแดนของประเทศจะต้องได้รับการอนุมัติจากประชาชนผ่านการทำประชามติ
แต่ผลสำรวจโดยสถาบันสังคมวิทยานานาชาติเคียฟ (KIIS) ที่ทำการสำรวจในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พบว่าชาวยูเครนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยอมให้ดินแดนของยูเครนไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และเสียงส่วนใหญ่คัดค้านอย่างยิ่งต่อการยอมสละดินแดนที่ยูเครนควบคุมอยู่ในปัจจุบัน
ขณะที่พิซซีชี้ว่า แม้ชาวยูเครนจะเปลี่ยนใจและลงประชามติเห็นชอบให้ยกดินแดนแก่รัสเซีย แต่ข้อตกลงสันติภาพดังกล่าวที่เป็นผลจากการใช้กำลังทหารเพื่อยึดครองดินแดนก็ยังคงผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ด้าน ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์สาขาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นต่อการเปลี่ยนท่าทีของทรัมป์ ที่หันไปสนับสนุนการทำข้อตกลงสันติภาพโดยเธอมองว่า การจะอ่านทรัมป์นั้นค่อนข้างยากพอสมควร ซึ่งเมื่อทรัมป์ เข้าสู่การเจรจา เขาจะพิจารณาว่าการทำข้อตกลงสันติภาพ กับการทำข้อตกลงหยุดยิงนั้น จริงๆ มีน้ำหนักเท่าหรือไม่เท่ากันอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเราดูแพทเทิร์นของทรัมป์ในการเจรจา เขามักจะชอบที่จะเจรจาเสร็จแล้วบอกว่า ตัวเองประสบความสำเร็จในการเจรจา ดังนั้น ท่าทีที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยนเป้าหมายจากการหยุดยิงเป็นการเจรจาข้อตกลงสันติภาพ ก็อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทรัมป์ สามารถบอกได้ว่าตนเองเจรจากับปูตินสำเร็จแล้ว
“คำอธิบายว่าทำไมทรัมป์ถึงไม่อยู่ในร่องในรอยกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปก่อนหน้า จริงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผ่านมา ทรัมป์มีการเปลี่ยนจุดมุ่งหมายในการเจรจาหลายครั้งแล้วใแต่สิ่งที่ทำให้ทรัมป์ได้ประโยชน์ ก็คือทรัมป์สามารถบอกได้ว่าการเจรจาระหว่างเขากับปูตินนั้นยอดเยี่ยมมาก และนำไปสู่ผลลัพธ์บางประการ” ดร.ปองขวัญ กล่าว
นอกจากนี้ อีกเหตุผลจากฝ่ายสนับสนุนทรัมป์ ที่มองว่าการที่ทรัมป์ยอมไม่บังคับให้รัสเซียทำข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครน อาจเป็นเพราะในการเจรจาระหว่างทรัมป์กับปูตินนั้น ทรัมป์ได้อะไรหลายๆ อย่างแล้ว จึงยอมให้ปูตินได้บ้าง เช่น การไม่ต้องทำข้อตกลงหยุดยิง และข้ามไปสู่การเจรจาสันติภาพ
ยากจะไว้วางใจรัสเซีย
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลในเชิงปฏิบัติและเชิงยุทธศาสตร์ที่ทำให้ยูเครนไม่สามารถตกลงตามข้อเรียกร้องของปูตินได้
โดยปัจจุบันกองทัพรัสเซียควบคุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของลูฮันสก์ และมากกว่า 70% ของโดเนตสก์ ซึ่งหมายความว่าปูตินกำลังขอให้รัฐบาลเคียฟยอมสละพื้นที่มากกว่าที่สูญเสียไปก่อนหน้านี้
แต่พื้นที่บางส่วนของภูมิภาคดอนบาสที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครนนั้น มีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการป้องกันประเทศของยูเครน และมีเมืองอุตสาหกรรมหลายแห่ง รวมถึงสโลเวียนสก์ (Sloviansk), ครามาทอร์สก์ (Kramatorsk ) และคอสเตียนตีนีฟกา (Kostiantynivka) ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยถนนสายหลักและทางรถไฟ โดยถือเป็นแกนหลักของการป้องกันประเทศยูเครน ซึ่งหากรัสเซียเลือกเส้นทางเหล่านี้ เส้นทางสู่ภาคตะวันตกของยูเครนก็จะเปิดกว้าง
พิซซียังมองว่า รัฐบาลยูเครนแทบไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะไว้วางใจรัสเซียได้
“รัสเซียโจมตียูเครนด้วยอาวุธมานานกว่า 10 ปีแล้ว อย่างต่อเนื่องและซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสร้งทำเป็นเจรจา แสร้งทำเป็นว่าสุจริตใจ ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้ความรุนแรงและยึดมั่นในเป้าหมายสูงสุดที่ผิดกฎหมายอยู่เบื้องหลัง และทางการยูเครนก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้” เขากล่าว และมองว่า
“ไม่มีเหตุผลเชิงตรรกะและสมเหตุสมผลใดๆ ที่จะไว้วางใจรัสเซีย หากปราศจากการปูทาง การตัดสินใจ หรือการมีส่วนร่วมอย่างสุจริตใจที่พวกเขาทำเพื่อยับยั้งการสังหารชาวยูเครนเพิ่มเติม”
นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group ให้ความเห็นว่า ผู้นำยุโรปจะต้องแสดงให้ทรัมป์เห็นอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะให้การยอมรับต่อการกระทำของรัสเซีย ในการใช้กำลังทหารผนวกดินแดนยูเครนอย่างถาวร”
“แม้ว่าจะมีการยอมรับสถานะทางทหารโดยพฤตินัยในพื้นที่ แต่ยูเครนและยุโรปจะไม่ยอมรับว่า รัสเซียควรได้รับดินแดนมากกว่าที่ยึดครองมาได้”
และที่สำคัญคือ ถึงแม้ว่ายูเครนจะยอมรับความจริงได้ว่า รัสเซียได้ครองอำนาจควบคุมดินแดนบางส่วนแล้วโดยพฤตินัย แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็คงไม่ยินยอมที่จะยอมรับสิ่งนี้เป็นการถาวร และยังมีเป้าหมายที่ต้องการยึดครองดินแดนทั้งหมดคืนในอนาคต
ขณะที่พิซซีมองว่า แม้การหยุดยิงอาจเป็นทางออกเดียวจากความรุนแรงและสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 4 ปี แต่ข้อตกลงสันติภาพถาวรที่ปูตินต้องการนั้น ถึงอย่างไรก็ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
“ความจริงก็คือ (กฎหมายระหว่างประเทศ) ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางการเมือง ที่จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพ ในเมื่อเหยื่อของการรุกรานไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ” เขากล่าว
อ้างอิง :