เหตุผลที่หลายคนยังไม่เชื่อว่าสงครามการค้าของทรัมป์สุดท้ายจะแรงจริง ก็เพราะมองว่าหากทรัมป์ทำจริงอย่างที่พูด เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะหายนะแน่ ก็ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งได้เพราะปัญหาเงินเฟ้อในยุคไบเดนมิใช่หรือ ดังนั้นทรัมป์น่าจะกลัวอะไรก็ตามที่ดันเงินเฟ้อให้สูง ซึ่งสงครามการค้าจะทำให้ข้าวของแพงขึ้นแน่นอน
แต่ข้อเท็จจริงคือ แม้ของจะแพงขึ้น แต่อาจไม่ได้แพงขึ้นแบบหายนะหรือทนไม่ได้
นักเศรษฐศาสตร์มักชอบอธิบายว่า หากทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีนร้อยละ 20 คนที่สุดท้ายจะต้องจ่ายคือผู้บริโภคชาวอเมริกัน ซึ่งฟังดูคล้ายๆ กับว่าราคาข้าวของจากจีนจะแพงขึ้นร้อยละ 20 และภาษีนี้สุดท้ายจะถ่ายโอนไปเก็บกับผู้บริโภคสหรัฐฯ ผ่านราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น
แต่ความเป็นจริงในโลกธุรกิจคือ มีหลายฝ่ายที่จะต้องจ่ายและช่วยแบกรับภาษีนำเข้านี้ครับ
เริ่มจากผู้ผลิตในจีน ที่จะต้องยอมหั่น margin กำไรลง เพื่อที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ต่อไป
ถัดไปคือผู้นำเข้าทางฝั่งสหรัฐฯ เองก็จะหั่น margin กำไรลงเช่นกัน ยอมที่จะแบกต้นทุนกำแพงภาษีบางส่วน แทนที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าเต็มที่ เพราะก็ต้องการรักษาส่วนแบ่งการตลาดเช่นเดียวกัน
ดังนั้นสุดท้ายราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น จึงไม่ได้สูงขึ้นถึงร้อยละ 20 เท่ากับกำแพงภาษีที่ตั้ง นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยให้กำแพงภาษีไม่ได้ส่งผลต่อเงินเฟ้ออย่างหายนะ
หนึ่ง สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้เคยอธิบายว่าการขึ้นกำแพงภาษี จะส่งผลต่อราคาของที่ปรับสูงขึ้นแบบครั้งเดียวจบ (One-off inflation) ไม่ได้ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงค้างเติ่งหลายเดือนแบบเงินเฟ้อที่เกิดจากการใช้จ่ายมโหฬารของภาครัฐและการลงทุนที่สูงเกินไปเช่นเงินเฟ้อในสมัยรัฐบาลไบเดน
สอง เมื่อมีการตั้งกำแพงภาษีต่อจีน จะเกิดการเปลี่ยนแหล่งนำเข้า (Trade Diversion) กล่าวคือแทนที่สหรัฐฯ จะซื้อสินค้าจากจีน ก็เปลี่ยนไปซื้อสินค้าจากเวียดนาม เม็กซิโก ไทย อินเดีย ฯลฯ โรงงานจีนเองก็จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเหล่านี้เพื่อส่งออกมายังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี ผู้บริโภคสหรัฐฯ จึงยังได้ข้าวของราคาถูก เพียงแต่จากเดิมซื้อจากจีน ตอนนี้หันไปสั่งของถูกจากประเทศอื่นแทน
สาม จีนเองก็จะลดค่าเงิน ซึ่งก็จะช่วยกดราคาสินค้าส่งออกของจีนลงอีกด้วย ซึ่งก็จะช่วยไม่ให้กระทบเงินเฟ้อสหรัฐฯ สาหัสนัก
สี่ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันการย้ายฐานการผลิตมาผลิตในสหรัฐฯ นั้น แม้จะมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าผลิตที่จีน เวียดนาม เม็กซิโก แต่ก็อาจไม่ได้สูงกว่ามากดังในอดีต เนื่องจากเทคโนโลยี Automation ที่ทดแทนแรงงาน (ต้นทุนการผลิตที่สูงในสหรัฐฯ มักมาจากค่าแรงที่แพง) และเมื่อพิจารณาว่าหากผลิตในสหรัฐฯ จะช่วยประหยัดต้นทุนโลจิสติกส์ลงด้วยแล้ว การผลิตในสหรัฐฯ แม้จะทำให้ข้าวของราคาแพงขึ้นกว่านำเข้าจากจีน แต่ก็อาจไม่ได้แพงกว่ากันมากหลายเท่าแบบในอดีต
นี่ยังไม่นับว่าทรัมป์จะมีหลายจังหวะเด็ดที่จะขึ้นกำแพงภาษี หากเขาสามารถดำเนินนโยบายสามข้อ ที่จะช่วยให้เขามีความยืดหยุ่นในเรื่องแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ทำให้เขาสามารถตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าได้มากขึ้น
หนึ่ง นโยบายการกดราคาพลังงาน ทรัมป์มีนโยบายเร่งการขุดน้ำมันภายในประเทศ เพื่อเพิ่มซัพพลายน้ำมัน ซึ่งจะช่วยกดราคาพลังงาน ราคาพลังงานถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในดัชนีราคาผู้บริโภค หากราคาพลังงานลดลง ก็จะช่วยอัตราเงินเฟ้อได้มาก
สอง ทรัมป์จะลดภาษีในประเทศ ซึ่งทรัมป์มองว่าหากประชาชนสหรัฐฯ มีเงินเหลือเก็บในกระเป๋ามากขึ้นจากการจ่ายภาษีน้อยลง ก็สามารถทนรับราคาข้าวของที่แพงขึ้นเล็กน้อยได้ ทรัมป์ยังหาเสียงว่าจะเก็บภาษีนำเข้ามาเป็นแหล่งรายได้สำคัญแทนที่ภาษีในประเทศ
สาม ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวและอ่อนแรง จากความไม่แน่นอนทางนโยบายและการลงทุนที่เริ่มชะงัก ซึ่งในระยะสั้น เศรษฐกิจที่อ่อนแรงจะช่วยชะลอเงินเฟ้อและกดราคาพลังงาน ซึ่งก็จะส่งผลให้ทรัมป์มีช่องยืดหยุ่นมากขึ้นในการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าต่างประเทศ
อย่างในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงกว่าช่วงก่อนหน้า (ไม่ได้ปรับสูงขึ้น) ซึ่งหลายคนมองว่ามาจากสาเหตุที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแรงลงจากความผันผวนของนโยบายเศรษฐกิจการค้าของทรัมป์
ดังนั้น หากใครยังมองว่าทรัมป์ไม่น่าจะทำสงครามการค้าแรงนักหรอก เพราะทรัมป์น่าจะกลัวเงินเฟ้อ ต้องบอกว่าถึงแม้สงครามการค้าทำให้ของแพงขึ้นแน่ แต่ไม่ได้แพงขึ้นแบบหายนะอย่างที่จะทนกันไม่ได้และจะกดดันให้ทรัมป์ยอมกลับลำ
ในรัฐบาลทรัมป์ยุคแรกนั้น เคยมีสำนักวิเคราะห์บวกลบคูณหารว่าสงครามการค้าต่อจีนของทรัมป์ ซึ่งขึ้นภาษีจีนมากกว่าร้อยละ 25 สุดท้ายส่งผลดันเงินเฟ้อขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 ซึ่งทำให้รัฐบาลไบเดนตัดสินใจไม่กลับลำกำแพงภาษีที่ทรัมป์ตั้งขึ้นต่อสินค้าจีนเลย
รอบนี้ก็เช่นเดียวกัน มีหลากหลายปัจจัยที่จะช่วยกดเงินเฟ้อไม่ให้หายนะ และมีหลายจังหวะที่ทรัมป์จะมีช่องยืดหยุ่นขึ้นในการปรับขึ้นกำแพงภาษีสินค้าต่างชาติ เช่นหากทรัมป์สามารถลดภาษีในประเทศลงได้และกดราคาพลังงานลงได้สำเร็จ
เพราะฉะนั้นอย่าไปประมาททรัมป์ว่าคงไม่กล้าทำสงครามการค้าเต็มสูบ เพราะในความคิดของทรัมป์ เงินเฟ้อจากสงครามการค้านั้นพอบริหารจัดการและพอสื่อสารกับประชาชนได้ ต่างจากเงินเฟ้อสูงที่ค้างเติ่งต่อเนื่องหลายเดือนจาก overspending แบบในยุครัฐบาลไบเดน
ภาพ: Lightspring via ShutterStock