×

จะเกิดอะไรขึ้นต่อ-ผลกระทบการต่อสู้ในชั้นศาล ปมภาษีทรัมป์

30.05.2025
  • LOADING...

ศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) ในนครนิวยอร์ก มีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากรต่อทั่วโลก รวมถึงภาษีศุลกากรตอบโต้ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศไปเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า นโยบายดังกล่าวเป็นการ ‘ใช้อำนาจเกินขอบเขต’ จากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

 

รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มอบอำนาจแก่รัฐสภาในการควบคุมการค้ากับประเทศอื่นๆ และอำนาจนี้ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยอำนาจของประธานาธิบดีในการปกป้องเศรษฐกิจ ขณะที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่อทั่วโลก โดยอ้างกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (IEEPA) ซึ่งศาลมองว่ากฎหมายฉุกเฉินดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิฝ่ายเดียวในการกำหนดภาษีศุลกากรกับแทบทุกประเทศทั่วโลก

 

ก่อนที่ทีมบริหารของทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์ โดยทรัมป์ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก และรัฐบาลก็มุ่งมั่นที่จะใช้ทุกอำนาจของฝ่ายบริหารเพื่อแก้ไขวิกฤตนี้และฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ของอเมริกา

 

ต่อมาศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ ได้สั่งระงับคำตัดสินของศาลการค้า พร้อมคุ้มครองนโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ชั่วคราว ซึ่งทั้งสองคำตัดสินเกิดขึ้นต่อเนื่องกันภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง สร้างความโกลาหลเพิ่มเติมให้กับนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์

 

จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

 

อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า ขณะนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ชายแดน ภาษีนำเข้ายังคงต้องชำระเช่นเดิม เรื่องนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์ก่อน และหากผลอุทธรณ์สำเร็จ CBP จึงจะออกคำแนะนำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม

 

หนทางยังอีกยาวไกล และศาลในระดับสูงกว่าอาจมีแนวโน้มเอื้อประโยชน์ต่อทรัมป์มากกว่า แต่ถ้าหากศาลทั้งหมดสนับสนุนคำตัดสินนี้ ธุรกิจที่เคยจ่ายภาษีนำเข้าจะได้รับเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)

 

อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CBP ยังให้รายละเอียดว่า กฎหมายที่ทรัมป์ใช้เป็นข้ออ้างในการเก็บภาษีตอบโต้ (IEEPA) เป็นกฎหมายที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจากยุค 1970 ซึ่งถูกนำกลับมาใช้ในปี 2019 เพื่อรองรับการเก็บภาษีกับเม็กซิโก ขณะที่ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายอีกฉบับ (Section 232) จะไม่ได้รับผลกระทบจากคำตัดสินในวันนี้

 

ขณะนี้บรรดาสหภาพยุโรป จีน และอีกหลายประเทศต่างกำลังเร่งหาทางทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ให้ทันก่อนถึงเส้นตาย 8 กรกฎาคมนี้ คำถามสำคัญคือ พวกเขายังจำเป็นต้องเร่งรีบเช่นนั้นต่อไปหรือไม่ หรือแม้แต่ต้องดำเนินการต่อไปหรือเปล่า บทวิเคราะห์ใน BBC มองว่า ไม่ว่าสุดท้ายแล้วศาลจะตัดสินอย่างไรเกี่ยวกับความชอบธรรมในการประกาศใช้นโยบายการขึ้นภาษี ทรัมป์ก็ยังคงจะเดินหน้าต่อสู้ในประเด็นนี้ต่อไป จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะหา ‘ช่องทางอื่น’ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เขาต้องการในระบบการค้าระหว่างประเทศ

 

หัวหน้าคณะเจรจาการค้าของอินเดียกับสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ว่า การเจรจา “ดำเนินไปได้ด้วยดี” ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาและประเทศอื่นๆ จะยังคงต้องพยายามหาทางเจรจาแก้ไขความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ต่อไป

 

ส่วนฉากทัศน์ที่ว่า ทรัมป์จะหาทางลงและยอมถอยเกี่ยวกับนโยบายภาษีนี้ ยังเป็นแนวทางที่เป็นไปได้ ‘น้อยที่สุด’ โดยในหนังสือ The Art of the Deal ทรัมป์ระบุชัดเจนว่าเขาเชื่อว่า “คุณควรต่อสู้ในทุกการเจรจาจนถึงที่สุด” และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งชี้ว่า เขาจะยอมถอยในเร็วๆ นี้

 

มุมมองผู้เชี่ยวชาญของไทย

 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) แสดงความเห็นผ่านเพจ Facebook เกี่ยวกับคำพิพากษาของศาล CIT ว่าเป็น ‘เบรกมือฉุกเฉิน’ ที่สำคัญต่อการใช้อำนาจฝ่ายบริหารในนโยบายการค้า เนื่องจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศไม่ควรเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์หรือกลยุทธ์การเมืองในแต่ละช่วงเวลา หากศาลไม่ยับยั้งคำสั่งเหล่านี้ไว้ เราอาจเห็นการใช้คำว่า ‘ภัยคุกคาม’ เป็นข้ออ้างเพื่อออกภาษีทุกครั้งที่มีปัญหาทางการทูต และที่สำคัญวันนี้ยังไม่มีประเทศไหนลงนามรับเงื่อนไขภาษีเหล่านี้อย่างถาวร

 

หลังจากที่ศาลอุทธรณ์สั่งชะลอคำตัดสินของศาล CIT โดยเปิดทางให้กลับมาเก็บภาษีต่อได้ชั่วคราว ระหว่างรอผลอุทธรณ์ ฝ่ายทีมบริหารของทรัมป์ก็ระบุว่า ถ้าไม่ชนะจะเดินหน้ายื่นเรื่องต่อศาลฎีกาต่อ พร้อมหาช่องทางอื่นมารองรับแทน เพื่อไม่ให้คำตัดสินนี้ล้มระบบภาษีนำเข้าทั้งหมด โดย ดร.พิพัฒน์ มองว่า บรรยากาศคือระเบิดเวลาแบบ ‘วันปลดแอก’ (Liberation Day) จริงๆ ซึ่งเกี่ยวพันทั้งมิติการเมือง กฎหมายและเศรษฐกิจโลกในเวลาเดียวกัน

 

ทางด้าน ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แสดงความเห็นผ่านเพจ Facebook ถึงผลกระทบระยะสั้นว่า ภาษีนำเข้าชุดใหญ่ของทรัมป์ จะยังมีผลบังคับใช้ต่อไปชั่วคราว และเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหาร ‘ยื้อเวลา’ พร้อมพิจารณาใช้กฎหมายอื่นแทน IEEPA

 

คำถามสำคัญคือ แล้วรัฐบาลสหรัฐฯ อาจทำอะไรต่อ? ดร.สันติธาร ระบุว่า หลังจากอ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ เข้าใจว่าต่อให้สมมติว่า สุดท้ายการอ้างกฎหมาย IEEPA ถูกตีตกไป แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยังสามารถใช้อำนาจภายใต้กฎหมายอื่น เพื่อเดินหน้ายุทธศาสตร์ภาษีได้ เช่น

 

1. มาตรา 122 (Trade Act of 1974)

  • สามารถใช้ได้ทันที ไม่ต้องสอบสวน
  • เก็บภาษีได้สูงสุด 15% เป็นเวลา 150 วัน
  • ต้องขออนุมัติรัฐสภาหากต้องการต่ออายุ
  • คาดว่าอาจใช้แทนภาษี 10% ที่ถูกระงับ

 

2. มาตรา 301 (Trade Act of 1974)

  • ใช้ตอบโต้ ‘การค้าที่ไม่เป็นธรรม’ เช่น การอุดหนุน หรือขโมยเทคโนโลยี
  • ไม่มีเพดานหรือข้อจำกัดด้านเวลา แต่ต้องผ่านการสอบสวนก่อน
  • เหมาะกับการเจาะเป้าหมายประเทศคู่ค้ารายใหญ่

 

3. มาตรา 232 (Trade Expansion Act of 1962)

  • ใช้เหตุผลด้าน ‘ความมั่นคงแห่งชาติ’
  • เคยใช้กับเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ อาจขยายสู่ยาหรืออิเล็กทรอนิกส์ หรือกว้างกว่านั้น

 

4. มาตรา 338 (Tariff Act of 1930)

  • อนุญาตให้เก็บภาษีสูงสุด 50% หากประเทศนั้นเลือกปฏิบัติต่อสหรัฐฯ
  • ยังไม่เคยมีรัฐบาลใดใช้มาก่อน

 

ดร.สันติธาร ระบุว่า แม้จะเสียหมาก IEEPA จากศาลชั้นต้น แต่คำสั่งศาลอุทธรณ์ล่าสุดทำให้รัฐบาลทรัมป์ยังคงเดินหน้าต่อได้ เช่น ในระยะสั้น อาจใช้มาตรา 122 ออกภาษีใหม่ทันที ขณะที่ในระยะยาว อาจเปิดแนวรบใหม่ผ่านมาตรา 301 และ 232 เพื่อสร้าง ‘ระบบภาษีถาวร ที่เจาะลึกและรัดกุมกว่าเดิม

 

สิ่งที่แน่นอนคือ ‘ความไม่แน่นอน’ ที่เกิดขึ้นจากที่ไกลตัว แต่ดันมีผลกระทบใกล้ตัวมาก ดังนั้น คน ธุรกิจ และประเทศต้องเตรียมรับมืออยู่เสมอ สงครามการค้าอาจเปลี่ยนรูปแบบต้องใช้กระบวนท่ายากและซับซ้อนขึ้น ‘แต่ยังไม่จบแน่นอน’ คงต้องตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะหนึ่งในคำถามสำคัญคือ หากเขาไม่ได้มี ‘กระสุนกีดกันการค้า’ แบบไม่จำกัดแบบเดิมแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ จะเลือกใช้กับประเทศไหนบ้าง อุตสาหกรรมใดบ้าง และประเทศไทยอยู่ตรงไหนในเรดาร์

 

แฟ้มภาพ: Win McNamee / Getty Images

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising