ม.หอการค้าไทย วิเคราะห์ข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบ ภาษีสหรัฐฯ 19% เมื่อเทียบคู่แข่ง คาดผลกระทบครึ่งปีหลัง ไทยเจอทั้งผลกระทบทางตรงและทางอ้อม ส่งออกหดตัว 114,000 ล้านบาท ฉุด GDP ร่วงอีก 0.62 -1.48% แนะรัฐเดินหน้า 6 มาตรการเร่งด่วน
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า หลังจากสหรัฐประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ไทยในอัตรา 19% สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกคือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และยางและผลิตภัณฑ์ยาง เนื่องจากมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ สูง และยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ ในด้านความสามารถในการแข่งขันส่งออกสินค้าไทย 10 อันดับแรกไปยังตลาดสหรัฐ พบว่า “ไทยเสียเปรียบคู่แข่งไม่มากนัก เนื่องจากมีอัตราภาษีใกล้เคียงกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา”
โดยกลุ่มที่ได้เปรียบไทย มีเพียงสิงคโปร์ที่ได้อัตราภาษี 10% รองลงมาคือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ได้รับอัตราภาษี 15% สำหรับสินค้า แผงวงจรรวมขั้นสูง, เคมีภัณฑ์ขั้นสูงแผงวงจรรวมและเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง และเครื่องจักรกลและเครื่องมืออุตสาหกรรมขั้นสูง
ขณะที่กลุ่มที่ไทยได้เปรียบในการส่งออกมีหลายระดับ เริ่มจากเวียดนาม ไต้หวัน ศรีลังกา และบังกลาเทศที่ได้รับภาษี 20% ตามด้วยอินเดียและบรูไนที่ 25% ลาวและเมียนมาที่ 40% และจีนคือตลาดที่ไทยได้เปรียบมากที่สุดด้วยอัตราภาษี 51% ของจีน สร้างโอกาสให้ไทยสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดเหล่านี้ได้
โดยเฉพาะการส่งออกกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและคอมพิวเตอร์ และเฟอร์นิเจอร์และสินค้าเบ็ดเตล็ด
คาด 5 เดือนที่เหลือ กระทบแสนล้าน
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินผลกระทบภาษี 19% ในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปี 2568 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อส่งออกไทยราว 114,612 ล้านบาท ทำให้จีดีพีหดตัวลง 0.62% แบ่งเป็น
- ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก 106,518 ล้านบาท
- ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก 26,978 ล้านบาท
- แต่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า 18,884 ล้านบาท
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2569 ซึ่งเป็นผลกระทบเต็มปี คาดว่าจะมีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการส่งออก 275,069 ล้านบาท ทำให้จีดีพีหดตัวลง 1.48% แบ่งเป็น
- ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก 255,643 ล้านบาท
- ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก 64,747 ล้านบาท
- แต่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า 45,322 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ม.หอการค้าไทย ยังคงเป้าหมายจีดีพีทั้งปีไว้ที่ 1.5-2% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 1.7% ขณะที่การส่งออกทั้งปีคาดไว้ 2.5-3%
ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 6 มาตรการ ได้แก่
- เร่งช่วยเหลือและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
-
- มาตรการบรรเทาผลกระทบ คือการช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ส่งออกและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โดยเน้นภาคส่วนเสี่ยงสูง อาทิ สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อช่วยรักษาการจ้างงาน
-
- ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่า โดยสนับสนุน R&D และนวัตกรรมพัฒนาสินค้าพรีเมียมและสินค้า GI (Geographic Indication) ลดการพึ่งพาการแข่งขันด้านราคา
- การเสริมสร้างกฎแหล่งกำเนิดสินค้า สร้างความชัดเจนในกฎ Transshipment
-
- เจรจากับสหรัฐฯ เพื่อสร้างความชัดเจน
ในเกณฑ์การพิจารณา ลดความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษี 40% สำหรับสินค้า Transshipment
-
- เพิ่มสัดส่วน Local Content
เป็น 50-60% เร่งพัฒนาให้สินค้าไทยมีคุณสมบัติเป็นสินค้าไทยแท้ (สินค้าที่ติดตรา Product of Thailand)
- กระจายตลาดส่งออก
-
- แสวงหาตลาดใหม่เพิ่มเติม อาทิ สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง ตลาดในภูมิภาค ASEANเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
-
- ใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ อาทิ RCEP และ ATIGA (ASEAN Trade in Goods Agreement) เสริมสร้างการค้าภายในภูมิภาค และสร้างความยืดหยุ่นห่วงโซ่อุปทาน
- ดึงดูดและรักษา FDI มูลค่าสูง
-
- เร่งออกมาตรการจูงใจ FDI โดยปรับปรุงมาตรการจูงใจให้แข่งขันได้ เน้นภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, เทคโนโลยีขั้นสูง ปรับปรุงกฎระเบียบและส่งเสริมการทำธุรกิจ
- ส่งเสริมอุปสงค์ภายในประเทศ
-
- กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน มาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ชดเชยผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอและเสริมสร้างความเชื่อมั่น แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเช่น แก้ไขหนี้ครัวเรือนที่สูง พัฒนาภาคเกษตรกรรม และ สร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจระยะยาว
- การติดตามและการดำเนินการทูตในเชิงรุก
-
- เฝ้าระวังและประเมินผล จัดตั้งกลไกเพื่อติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และเจรจา หาโอกาสปรับปรุงเงื่อนไขในข้อตกลงการค้าให้ดีขึ้น
ภาพ: Justin Sullivan / Getty images