ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกลับมาปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงเปิดสัปดาห์ใหม่ เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าเป็น 50% ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้ (2 มิถุนายน) ท่ามกลางกระแสข่าวว่าผู้นำทั้งสองประเทศอาจมีการหารือทางโทรศัพท์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในเร็วๆ นี้
เมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐฯ (30 พฤษภาคม) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศระหว่างการปราศรัยต่อกลุ่มคนงานในโรงงานเหล็ก U.S. Steel ในรัฐเพนซิลเวเนียว่า เขาจะปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็กกล้าจาก 25% เป็น 50% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันพุธที่ 4 มิถุนายนนี้
ทรัมป์ให้เหตุผลว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วย “สร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมเหล็กกล้าของสหรัฐฯ ยิ่งขึ้นไปอีก” และได้โพสต์ย้ำเรื่องนี้ผ่าน Truth Social แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเอง
การประกาศดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทันที โดยตลาดหุ้นเอเชียในเช้าวันนี้ (2 มิถุนายน) เปิดทำการด้วยความผันผวน ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น ปรับตัวลดลง 0.89% ดัชนี Topix ของญี่ปุ่น ลดลง 0.65% ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้ บวกขึ้นเล็กน้อย 0.16% ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง ร่วงลง 1.66% ส่วนตลาดหุ้นไทยปิดทำการในวันนี้
ขณะที่สัญญาล่วงหน้าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยสัญญาล่วงหน้า S&P 500 และ Nasdaq 100 ลดลงประมาณ 0.3% ส่วนสัญญาล่วงหน้า Dow Jones ลดลง 108 จุด หรือ 0.3% สะท้อนความกังวลของนักลงทุนในช่วงเริ่มต้นเดือนใหม่ หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่งฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
จีนโต้กลับ “สหรัฐฯ ต่างหากที่ละเมิดข้อตกลงเจนีวา”
ความตึงเครียดทางการทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อ ทางการจีนออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ในวันนี้ (2 มิถุนายน) ที่ว่าจีนได้ละเมิดข้อตกลงการค้าเจนีวา (Geneva Trade Agreement) ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้
ทางการจีนระบุว่า สหรัฐฯ ต่างหากที่เป็นฝ่ายละเมิดเงื่อนไขในข้อตกลง ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าการเจรจาระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกกำลังอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ลง
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ได้กล่าวหาจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าละเมิดข้อตกลงการค้าเบื้องต้น และโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียว่า “บทบาทการเป็นสุภาพบุรุษจบลงแล้ว!” (So much for being Mr. NICE GUY!)
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (1 มิถุนายน) เควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ This Week ของ ABC News โดยระบุว่า “เราคาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะมีการพูดคุยที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการเจรจาการค้าในสัปดาห์นี้กับ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน นั่นคือความคาดหวังของเรา”
แม้จะยอมรับว่ายังไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอน แต่มีการหารือกันว่าผู้นำทั้งสองจะพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงเจนีวา ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายเคยแสดงท่าทีเห็นพ้องต้องกัน และทีมงานของ เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ก็ยังคงมีการพูดคุยกับฝ่ายจีนทุกวันเพื่อผลักดันเรื่องนี้
ทว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ในรัฐบาลทรัมป์กลับแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวมากกว่า โดย โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า จีนกำลังประวิงเวลาข้อตกลง ขณะที่ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยอมรับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าการเจรจาการค้ากับจีนค่อนข้างชะงักงัน แต่คาดว่าจะมีการพูดคุยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
เบื้องหลัง ‘ข้อตกลงเจนีวา’ และความไม่ลงรอยล่าสุด
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุสิ่งที่เรียกว่า ‘ข้อตกลงเจนีวา’ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการพักรบทางการค้าชั่วคราว โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะระงับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ของกันและกันเป็นเวลา 90 วัน อย่างไรก็ตาม บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกครั้งหลังจากรัฐบาลทรัมป์ได้เพิ่มข้อจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบเซมิคอนดักเตอร์และสารเคมีไปยังประเทศจีน และประกาศว่าจะเพิกถอนวีซ่านักศึกษาจีน ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากต่อรัฐบาลปักกิ่ง และนำมาสู่การตอบโต้ทางการทูตและข้อกล่าวหาล่าสุด
สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจึงกลับมาอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอนสูงอีกครั้ง นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง จะสามารถคลี่คลายความตึงเครียดและนำไปสู่ทางออกที่ชัดเจนได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงการซื้อเวลาท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่นและพร้อมจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้ทุกเมื่อ
อ้างอิง: